คิดเห็น share : การลงทุนในตลาดหุ้น ภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
สําหรับคอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” วันนี้ ผมจะเขียนถึงเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.2563 นี้ ซึ่งจะเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากผลการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐและของโลก รวมไปถึงปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ ผมประเมินว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น จนถึงการเลือกตั้งจะมีความผันผวนมากกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจถูกซ้ำเติมจากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตัดสินใจปลดล็อกมาตรการคุมชอร์ตเซลล์ และเกณฑ์เพดานราคา Ceiling-floor ที่กลับไปใช้เกณฑ์เดิมก่อนวิกฤตโควิด-19 (ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เริ่มใช้มาตรการเพื่อช่วยลดความผันผวนในตลาดหุ้นเมื่อเดือน มี.ค.2563 และสิ้นสุดในเดือน ก.ย.2563) อย่างไรก็ดี ผมประเมินว่าภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยกดดันต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนและหลายปีที่ผ่านมาจะเริ่มบรรเทาลง และน่าจะเริ่มมีประเด็นข่าวดีเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ประเด็นแรก คือ เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และรวมไปถึงระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ จะบรรเทาลง ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไรก็ตาม ในกรณีแรกหากทางนายโจ ไบเดน ผู้แทนจากพรรคเดโมแครต ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมเชื่อว่านโยบายการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งจะลดแรงกดดันประเด็นนี้ที่กดดันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับกรณีที่สอง คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสหรัฐให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ประเด็นเรื่องสงครามการค้ากับประเทศอื่นๆ จะลดแรงกระเพื่อมลงเช่นกัน เนื่องจากเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลสหรัฐจะกลับไปให้น้ำหนักกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศก่อน
ประเด็นที่สอง คือ งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ (รอบที่สอง) จะเริ่มทำการอัดฉีดเม็ดเงิน ให้ประชาชนสหรัฐได้ ภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การบริโภคในสหรัฐช่วงปลายปี 2563 นี้ ที่โดยปกติแล้วเป็นช่วง High season ของธุรกิจค้าปลีก แต่สำหรับปีนี้ผมเชื่อว่าทั้งประชาชนสหรัฐเอง และผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสหรัฐส่วนใหญ่ยังรอคอยเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ซึ่งถ้าเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดมาได้ทันปลายปีนี้ ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐเอง และรวมถึงผู้ส่งออกสินค้าทั่วโลก ที่จะได้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น และมีโอกาสที่คำสั่งซื้อสินค้าจะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2564 หลังจากที่ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกในสหรัฐได้ทำการระบายสต๊อกสินค้าช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ได้
ประเด็นที่สาม ความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 ที่ในขณะนี้อยู่ในสุดท้ายของการทดลองในอาสาสมัครมนุษย์ของบริษัทผู้วิจัยและผลิตวัคซีนหลายแห่ง อย่างไรก็ดี ในช่วงโค้งสุดท้ายของการสรุปผลการทดลอง ผมเชื่อว่าจะมีข่าวลบ-บวก ผสมปนเปกัน อาทิ ในช่วงที่ผ่านมาที่มีข่าวการระงับการทดลองเป็นการชั่วคราวของบางบริษัท ซึ่งผมประเมินว่าประเด็นเรื่องวัคซีนนี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนในปริมาณมากให้กับประชากรโลกอาจต้องรอคอยถึงปี 2564 แต่ผลการทดลองจะเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจโลกรวมถึงไทยน่าจะพ้นจุดต่ำที่สุดและจะเริ่มต้นฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ก่อนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะทราบผล ผมประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมาก และความผันผวนที่มากขึ้นนี่เองจะทำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ชะลอการลงทุนเพื่อต่อรองราคาให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดตามความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น ซึ่งผมประเมินว่าจะเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว (6 เดือน-1 ปี) ของนักลงทุนที่มองเห็นถึงโอกาส เนื่องจากผมประเมินว่าภายหลังรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 3 พ.ย.เป็นต้นไป ตลาดหุ้นหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ จากประเด็นต่างๆ ที่จะเริ่มกลับมาเป็นบวกมากขึ้นนั่นเอง
โดยผมประเมินระดับดัชนี SET index ที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนระยะยาวอยู่ที่ 1,150 จุด ซึ่งจะเป็นระดับที่คุ้มค่าความเสี่ยงตามทฤษฎีการเงินการลงทุน…ผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดที่มาของระดับดัชนี 1,150 จุด ได้ในบทวิเคราะห์เชิงปริมาณ Quantamental ของฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เผยแพร่วันที่ 2 ต.ค.2563