รีเซต

"โอมิครอนลูกผสม XBB" แซงโค้งขึ้นครองอันดับ 1 หลบภูมิ แพร่เชื้อ ดื้อยา

"โอมิครอนลูกผสม XBB" แซงโค้งขึ้นครองอันดับ 1 หลบภูมิ แพร่เชื้อ ดื้อยา
TNN ช่อง16
10 พฤศจิกายน 2565 ( 08:16 )
43
"โอมิครอนลูกผสม XBB" แซงโค้งขึ้นครองอันดับ 1 หลบภูมิ แพร่เชื้อ ดื้อยา

ศูนย์จีโนมฯ เผยข้อมูล "โอมิครอนลูกผสม XBB" แซงโค้งขึ้นครองอันดับ 1 ในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ติดต่อ และการดื้อต่อยา แนะจับตาไวรัสลูกผสม


ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 โดยระบุว่า "โอมิครอนลูกผสม “XBB” แซงโค้งขึ้นครองอันดับหนึ่งในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน การแพร่ติดต่อ และการดื้อต่อยาฉีดแอนติบอดีสังเคราะห์


โดยการนำตำแหน่งกลายพันธุ์บนหนามของโอมิครอนสองสายพันธุ์ย่อย BJ.1 และ BM.1.1.1 มาผสมรวมกัน (ภาพ 5,6)  ทั้งนี้สายพันธุ์ย่อยทั้งสองจากฐานข้อมูลโควิดโลก "GISAID" ยังไม่พบในประเทศไทย ปรับปรุง  10/11/2565 เวลา 6:59


จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโอมิครอน XBB หนึ่งในสมาชิกกลุ่มซุปโอมิครอน (A soup of omicron subvariants) พบมีกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มากที่สุดคือมากกว่า 100  ตำแหน่ง (ภาพ1) โดยมีการผสมจีโนมบางส่วนที่สร้างหนามแหลม(recombination) ของโอมิครอนสองสายพันธุ์ย่อย คือ BJ.1 และ BM.1.1.1 เข้าด้วยกัน (ภาพ 5,6) 


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 




และจากการคำนวณร่วมกับการทดลองในห้องปฏิบัติการบ่งชี้ว่าส่วนหนามแหลมที่มีการผสมผสานตำแหน่งกลายพันธุ์ของ BJ.1 และ BM.1.1.1 เข้าด้วยกัน ช่วยให้โอมิครอนลูกผสม XBB สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและแพร่ติดต่อได้ดีเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา (ภาพ2) รวมทั้งดื้อต่อยาฉีดแอนติบอดีสำเร็จรูปเกือบทุกประเภท จากฐานข้อมูลโควิดโลก (GISAID) พบสายพันธุ์ย่อย XBB มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดสมาชิกย่อยขึ้นมากมาย (ภาพ3) คือ 

XBB.1.1 (30.56%)

XBB.1 (23.23%)

XBB (22.95%)

XBB.3 (12.43%)

XBB.2 (6.34%)

XBB.5 (2.58%) กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มากที่สุด คือมากกว่า 120  ตำแหน่ง (ภาพ1)

XBB.3.1 (0.78%)

XBB.1.3 (0.60%)

XBB.4 (0.32%)

XBB.1.2 (0.21%) 


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 



จากฐานข้อมูลโควิดโลก (GISAID) เช่นกันพบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB ระบาดไปทั่วโลก เช่น สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก แคนาดา อิสราเอล มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์  อินโดนีเซีย กัมพูชา ฯลฯ ยังไม่พบในประเทศไทย

สิงคโปร์ 980 ราย (10.849 %)

อินเดีย 563 ราย (1.622%)

ออสเตรเลีย 227 ราย (0.436%)

สหรัฐ 197 ราย (0.026%)

ประเทศอังกฤษ 122 ราย (0.078%)

ออสเตรีย 112 ราย (0.157%)

เดนมาร์ก 111 ราย (0.125%)

บังกลาเทศ 88 ราย (17.495%)

บรูไน 52 ราย (3.002%)

อิสราเอล 48 ราย (0.085%)

เยอรมนี 38 ราย (0.022%)

แคนาดา 34 ราย (0.040%)

ญี่ปุ่น 33 ราย (0.022%)

เบลเยียม 27 ราย (0.094%)

เกาหลีใต้ 22 ราย (0.058%)

ฟิลิปปินส์ 20 ราย (0.509%)

มาเลเซีย 19 ราย (0.224%) 

อินโดนีเซีย 18 (0.132%)

ฝรั่งเศส 16 ราย (0.015%)

สวีเดน 12 ราย (0.046%)

เนเธอร์แลนด์ 11 ราย (0.047%)

อิตาลี 11 ราย (0.046%)

สวิตเซอร์แลนด์ 10 ราย (0.081%)

ฮ่องกง 10 ราย (0.400%)

กัมพูชา 1 ราย (0.197%) ฯลฯ


ไวรัสโคโรนา 2019 ลูกผสมเกิดขึ้นสืบเนื่องจากในร่างกายผู้ติดเชื้อมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สองสายพันธุ์พร้อมกัน เช่นในกรณีของ “เดลตาครอน” ซึ่งเกิดเป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ “เดลตา” และ “โอมิครอน” เนื่องมาจากในขณะที่มีการสร้างสายจีโนมของลูกหลานไวรัสในเซลล์ติดเชื้อมี “การสร้างจีโนมสายใหม่ข้ามสายจีโนม [template (genome) switching]” ที่ไวรัสใช้เป็น แม่พิมพ์ต้นแบบ  


หากในเซลล์นั้นมีไวรัสโคโรนา 2019 เพียงสายพันธุ์เดียวก็ยังเกิด“การสร้างจีโนมสายใหม่ข้ามสายจีโนม” ได้เช่นกันแต่จะไม่เกิดสายพันธุ์ลูกผสมขึ้น ตรงข้ามหากในร่างกายของผู้ติดเชื้อมีการติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ย่อยขึ้นไป โอกาสที่จะเกิดการสร้างจีโนมสายใหม่สลับสายจีโนมจนเกิดเป็นไวรัสลูกผสมจะมีสูงขึ้นโดยเฉพาะในการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ที่ย่างเข้า “ปีที่3” ซึ่งเกิดมีโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติขึ้นพร้อมกันมากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย หรือที่เรียกว่าซุปโอมิครอน (Omicron soup) (ภาพ4-6)


ภาพจาก Center for Medical Genomics

 



การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีโอกาสจะเกิดสายพันธุ์ลูกผสมได้ยากเพราะการติดเชื้อจะเป็นทีละตระกูลที่ระบาดไปทั่วโลก จากนั้นจะถูกแทนที่ด้วยอีกตระกูลหนึ่ง กล่าวคือ อัลฟา ถูกแทนที่ด้วย เบตา จากนั้น เบตาถูกแทนที่ด้วยแกมมา เดลตา และ โอมิครอน ตามลำดับ แต่ปีที่ 3 เรากลับพบว่าการเกิดโอมิครอนลูกผสมขึ้นอย่างรวดเร็ว (ภาพ2-3) จำเป็นต้องเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดมิให้ลูกผสมเหล่านี้กลายพันธุ์จนเกิดเป็นตระกูลใหม่ที่ต่างไปจากตระกูลโอมิครอน ซึ่งยากที่จะทำนายว่าตระกูลใหม่ที่จะอุบัติขึ้นมาจากสายพันธุ์ลูกผสมจะมีการติดเชื้อที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นหรือไม่"




ที่มา ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics)

ภาพจาก รอยเตอร์

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง