รีเซต

เมื่อแพทองธารถอย พรรคเพื่อไทยเดินต่อ เส้นทางใหม่ที่ยังมีเงาเดิมอยู่หรือไม่?

เมื่อแพทองธารถอย พรรคเพื่อไทยเดินต่อ เส้นทางใหม่ที่ยังมีเงาเดิมอยู่หรือไม่?
TNN ช่อง16
22 ตุลาคม 2568 ( 17:33 )
8

เพื่อไทยยกเครื่อง จริงหรือแค่ยกรูป

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด "ยกเครื่องพรรคเพื่อไทย" ที่ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม คำถามที่ทุกฝ่ายถามกันคือ การยกเครื่องครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงจริงหรือเป็นเพียงการปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับสถานการณ์

จากคำพิพากษาสู่การลาออก

ต้นตอของการลาออกครั้งนี้มาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน

การลาออกจากหัวหน้าพรรคจึงเป็นการ "ตัดปม" เพื่อไม่ให้ปัญหานี้กลายเป็นเครื่องมือขู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้สมัครของพรรค รวมถึงป้องกันความเสี่ยงในการเซ็นรับรองผู้สมัคร สส. และความเป็นไปได้ที่จะบานปลายไปถึงการยุบพรรค

นี่คือการตัดสินใจเชิงป้องกัน มากกว่าการตัดสินใจเชิงรุก แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่จำเป็นในสถานการณ์ที่พรรคเผชิญอยู่

"หัวหน้าครอบครัว" vs หัวหน้าพรรค

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้จะลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่แพทองธารก็ระบุว่าตนยังเป็น "หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" และยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไป คำว่า "หัวหน้าครอบครัว" นี้แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลยังคงอยู่ แม้จะไม่มีตำแหน่งทางการ

ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า การยกเครื่องที่ว่านั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจจริงหรือไม่ หากผู้นำเดิมยังอยู่ในระบบ แต่เปลี่ยนจาก "ตำแหน่ง" เป็น "บทบาท" แล้วการตัดสินใจจะเปลี่ยนไปอย่างไร

อย่างไรก็ตาม พรรคได้ประกาศชัดเจนว่า "อำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของพรรคอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ต่อจากนี้จะไม่มีเส้นทางลัดหรือเส้นทางอ้อมใดๆ อีกแล้ว" ซึ่งถือเป็นการสร้างกติกาใหม่ที่ชัดเจนขึ้น

สองตัวเลือก สองทิศทาง

การประชุมใหญ่วิสามัญวันที่ 31 ตุลาคม 2568 จะเป็นจุดพิสูจน์สำคัญ เพราะการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่จะบอกทิศทางของพรรคในอนาคต

ในกระแสพูดคุยภายในพรรค มีสองชื่อที่โดดเด่นที่สุด คือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มีจุดแข็งด้านหลักการประชาธิปไตยและงานเชิงสถาบัน กับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ที่โดดเด่นด้านเศรษฐกิจภาคปฏิบัติและเป็นคนรุ่นใหม่

จาตุรนต์เหมาะกับยุทธศาสตร์ "เสถียรภาพและการเจรจา" ซึ่งจำเป็นในการรักษาพันธมิตรในรัฐบาล ส่วนจุลพันธ์เหมาะกับยุทธศาสตร์ "รีแบรนด์และผลลัพธ์เศรษฐกิจ" เพื่อดึงดูดฐานเสียงรุ่นใหม่

การเลือกจะสะท้อนว่าพรรคต้องการเป็น "พรรคที่ทำงานร่วมกับระบบได้ดี" หรือ "พรรคที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์"

ทั้งนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรค ได้ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าตนจะเป็นหัวหน้าพรรค โดยระบุว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่จะเป็น "คนใน" แต่ "ไม่ใช่ตระกูลชินวัตร" ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของทิศทางพรรค

การเตรียมพร้อมสู่เลือกตั้ง

พรรคได้เปิดตัวผู้สมัคร สส. แล้วรวม 205 คน โดยเน้นว่าเป็น "เลือดใหม่" ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเป็นระบบ นายสุริยะยืนยันว่าพรรคไม่ได้พา สส. เก่าออกไป แต่จะเพิ่มคนใหม่เข้ามาให้ครบ 200 คน

กลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นความพยายามในการรักษาฐานเสียงเก่าไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามา นายสุริยะเคยกล่าวว่า "ไม่ว่าจะอีก 2 เดือน หรือ 4 เดือน พรรคเพื่อไทยพร้อมแล้ว" แสดงถึงความมั่นใจในการเตรียมความพร้อม

นอกจากนี้ พรรคยังจัดตั้งเวที "ตาดูดาว เท้าติดดิน (Moonshot Forum)" เพื่อศึกษาและค้นหาทางออกใหม่ของประเทศ โดยจะเริ่มที่กรุงเทพฯ ภายในเดือนตุลาคม ก่อนขยายสู่ภูมิภาคต่างๆ นี่คือความพยายามในการสร้างภาพว่าพรรคมีวิสัยทัšน์และความคิดริเริ่ม

ช่วงเปลี่ยนผ่าน  บทบาทของชูศักดิ์

ในระหว่างรอการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค การเลือกชูศักดิ์แสดงถึงความไว้วางใจจากภายในพรรค เพราะเขาเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์และมีความสัมพันธ์ดีกับทุกฝ่าย

บทบาทรักษาการนี้แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็สำคัญในการรักษาสมดุลภายในพรรคในช่วง 9 วันนี้

ความท้าทาย ระหว่างเก่าและใหม่

การยกเครื่องของพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ คือ การหาจุดสมดุลระหว่าง "รักษาฐานเสียงเก่า" กับ "ดึงดูดคนรุ่นใหม่"

ฐานเสียงเดิมที่เคยแข็งแกร่งในภาคเหนือและภาคอีสานต้องการความมั่นคงและความต่อเนื่อง ขณะที่คนรุ่นใหม่ที่พรรคพยายามดึงดูดต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและความทันสมัย

หากเน้นความต่อเนื่องมากเกินไป อาจสูญเสียคนรุ่นใหม่ แต่หากเน้นการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป อาจทำให้ฐานเสียงเดิมหวั่นไหว

การทดสอบที่แท้จริง

การทดสอบที่แท้จริงของการยกเครื่องครั้งนี้จะอยู่ที่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนหัวหน้าพรรคหรือโครงสร้าง แต่เป็นการทดสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้พรรคได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นหรือลดลง

คำถามสำคัญคือ พรรคเพื่อไทยจะยังคงเป็น "พรรคใหญ่" ที่มีอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ หรือจะกลายเป็นเพียงพรรคหนึ่งในบรรดาพรรคการเมืองมากมาย

การลาออกของแพทองธารและการประกาศยกเครื่องครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่จะเป็นการยกเครื่องจริงหรือเป็นเพียงการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ยังต้องรอดู

การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 จะเป็นสัญญาณแรก หากเลือกคนที่แสดงถึงความต่อเนื่อง ก็จะชัดเจนว่าการยกเครื่องเป็นการปรับโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากฎหมาย แต่หากเลือกคนที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็จะบอกว่าพรรคพร้อมเปลี่ยนตัวเองอย่างแท้จริง

สิ่งที่แน่นอนคือ พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของพรรคในอีกหลายปีข้างหน้า และการตัดสินใจที่จะทำในเร็วๆ นี้จะมีผลต่อภูมิทัศน์การเมืองไทยโดยรวม

ในท้ายที่สุด การยกเครื่องจะมีความหมายก็ต่อเมื่อประชาชนเห็นว่าพรรคเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหน้ากาก และนั่นคือการทดสอบที่ยากที่สุดของการยกเครื่องทุกครั้ง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง