เกาะติดสถานการณ์ 'รัสเซีย-ยูเครน' (13 ส.ค. 2565)

กระทรวงมหาดไทยยูเครนเผย การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในน่านน้ำ อาจใช้เวลาถึง 7 ปี        

กลุ่มควันพวยพุ่งออกจากเทือกเขาในเมืองซูมีเมื่อเย็นวันพฤหัสบดี (11 สิงหาคม) เนื่องจากทางการยูเครนดำเนินควบคุมการระเบิด เพื่อกำจัดทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ยังมีตกค้าง หลังรัสเซียบุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ ประชาชนหวั่นเกรงว่า ทุ่นระเบิดจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพราะน้ำปนเปื้อนจากวัสดุที่ใช้ทำอาวุธ อย่างเช่น กระสุนปืนใหญ่

กองกำลังรัสเซียเคยบุกเข้าไปในเมืองซูมี หลังรัสเซียยกกองทัพบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ได้ไม่นาน ก่อนที่กองทัพยูเครนยึดคืนเมืองดังกล่าวกลับมาได้เมื่อวันที่ 8 เมษายน จากนั้นเป็นเวลา 4 เดือน ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ได้รุดมายังเมืองซูมี เพื่อค้นหากระสุนปืนใหญ่ และทุ่นระเบิดที่ยังไม่ทำงาน หรือยังไม่ระเบิด

ความพยายามนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติความช่วยเหลือมูลค่า 89 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3,147 ล้านบาท ช่วยยูเครนในด้านอุปกรณ์เครื่องมือ และการฝึกฝนเจ้าหน้าที่ 100 ทีม เพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิด และระเบิดที่ยังไม่ทำงานเป็นเวลา 1 ปี 

ขณะที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศวิทยาของยูเครน ประมาณการณ์ว่า จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี ในการกำจัดกับทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดทั้งหมดในประเทศ แต่รัฐมนตรีมหาดไทยยูเครน เปิดเผยว่า ความพยายามกำจัดทุ่นระเบิดในน่านน้ำยูเครนน่าจะใช้เวลา 5-7 ปี

อย่างไรก็ตาม นักสิ่งแวดล้อมเตือนถึงความพยายามในการกำจัดระเบิดทั้งบนบกและในน้ำว่า อาจไม่เพียงพอที่จะปกป้องระบบนิเวศ และสุขภาพของคน ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ กล่าวว่า ยูเครนไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดเท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากมลภาวะร้ายแรงจากการระเบิดและจากจรวดต่าง ๆ ซึ่งผลติดตามเช่น มลพิษจะอยู่ได้นานหลายสิบปี

ข้อมูล TNN World

ภาพ: Reuters 

กองทัพรัสเซียปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารต่าง ๆ ของยูเครนอย่างหนัก รวมถึงโจมตีแท่นยิงจรวดและปืนใหญ่อัตตาจร

พลตรี อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมยูเครน เปิดเผยว่า กองทัพรัสเซียได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารต่าง ๆ ของยูเครน โดยโจมตีแท่นยิงจรวดและปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์ รวมถึงกองทัพยานเกราะที่ 14 และกองพันยานเกราะที่ 66 ของกองทัพยูเครนที่เมืองบักห์มุต และเมืองอัฟเดเยฟกา   

นอกจากนี้ เครื่องบินขับไล่รัสเซียยังยิงเฮลิคอปเตอร์ Mi-24 ของยูเครนตก 1 ลำ ใกล้เมืองนิโคโปลในแคว้นดนีโปรเปตรอฟสก์ และโดรนในภูมิภาคคาร์คีฟ

ขณะที่ ยูเครน กล่าวว่า กองทัพรัสเซียพยายามฝ่าแนวป้องกัน และยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบในแคว้นโดเนตสก์ จากนั้นเริ่มโจมตีเมืองครามาตอร์สก์ และเมืองบักห์มุตอีกครั้ง

ส่วนที่เบลารุสเกิดเหตุระเบิดเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาในฐานทัพแห่งหนึ่ง ห่างจากชายแดนยูเครน 30 กิโลเมตร โดยสาเหตุเกิดจากอุบัติเหตุทางเทคนิค ซึ่งระเบิดเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 8 ครั้ง หลังเที่ยงคืนไปแล้วใกล้ฐานทัพอากาศซยาบรอฟกา กระทรวงกลาโหม แจ้งว่า เครื่องยนต์ของรถคันหนึ่งมีไฟลุกไหม้ หลังมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ แต่โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 

อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น หลังเคยเกิดระเบิดอย่างรุนแรงที่ฐานทัพอากาศซากิของรัสเซียเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ที่ไครเมีย แต่รัสเซีย ระบุว่า เป็นอุบัติเหตุ ส่วนยูเครนประกาศไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ เบลารุส เป็นพันธมิตรใกล้ชิดรัสเซีย

ขณะที่ สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า เหตุระเบิดในสัปดาห์นี้ที่ฐานทัพอากาศซากิของรัสเซีย ทางตะวันตกของไครเมีย ทำให้รัสเซียสูญเสียเครื่องบินรบ 8 ลำ ส่งผลให้กองบินแบล็ก ซี ของกองทัพเรือรัสเซียลดขนาดลง และลดขีดความสามารถของกองบินแบล็ก ซี นับตั้งแต่ซากิถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดที่ฐานทัพอากาศซากิ ทางรัสเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 5 คน

ด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน แจ้งต่อเจ้าหน้าที่หยุดให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับยุทธวิธีของกองทัพยูเครนที่มีต่อรัสเซีย และกล่าวว่า เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ และหากเจ้าหน้าที่ยูเครนต้องการชัยชนะ จะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อทุกคำพูดเกี่ยวกับแผนการป้องกันและการโจมตีกลับของยูเครน

ข้อมูล TNN World

การโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยูเครน กระตุ้นให้สหประชาชาติ หรือ UN เรียกร้องเขตปลอดทหาร

รัสเซียและยูเครนต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายยิงจรวดหรือปืนใหญ่โจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปในยูเครน สร้างความวิตกว่า จะเกิดภัยพิบัติ ทำให้เลขาธิการสหประชาชาติ จะประกาศเขตปลอดทหารรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์   

บริษัท Energoatom ของยูเครน เปิดผยว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซห์เซีย ทางใต้ตอนกลางของยูเครน ได้ถูกโจมตีถึง 5 ครั้งเมื่อวันพฤหัสบดี (11 สิงหาคม) รวมถึงใกล้จุดที่เก็บวัสดุกัมมันตภาพรังสี   

ด้านสำนักข่าว Tass รายงานว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย เปิดเผยว่า ยูเครนโจมตีรถไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (11 สิงหาคม) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประชุมหารือกันถึงสถานการณ์ยูเครน และอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการ UN เรียกร้องให้รัสเซียและยูเครนหยุดสู้รบทั้งหมดใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซห์เซีย
เลขาธิการ UN แถลงว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องไม่ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทางทหาร และจำเป็นต้องมีการทำข้อตกลงอย่างเร่งด่วนในระดับเทคนิค เพื่อความปลอดภัยและเป็นเขตปลอดทหาร  เพื่อให้แน่ใจว่า เขตดังกล่าวเป็นพื้นที่ปลอดภัย 
นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สหรัฐฯ สนับสนุนการเรียกร้องให้ประกาศเขตปลอดทหารรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และเรียกร้องทบวงการพลังงานปรมาณู หรือ IAEA เข้าตรวจสอบ

รัสเซียเข้าควบคุมซาโปริซห์เซีย เมื่อเดือนมีนาคม หลังเปิดใช้ปฏิบัติการทางทหารยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ใกล้สมรภูมิรบ แม้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรัสเซีย แต่ดำเนินงานโดยคนงานชาวยูเครน    
ขณะที่ วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า โลกกำลังถูกผลักดันให้เข้าใกล้หายนะภัยทางนิวเคลียร์ เหมือนเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิล ซึ่งเกิดเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด และกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ IAEA จะเดินทางไปยังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซห์เซียในเร็ว ๆ นี้

ส่วนประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ต้องการให้รัสเซียคืนการควบคุมให้แก่ยูเครน ด้าน กระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ประกาศสะท้อนความต้องการของเซเลนสกี และกล่าวว่า การครอบครองโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของรัสเซียเป็นสิ่งที่อันตรายต่อโลก และมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลร้ายแรงตามมา

ทั้งนี้ ยูเครนและรัสเซียต่างประณามอีกฝ่ายที่โจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  อีกทั้งยูเครน ยังกล่าวหารัสเซียยิงจรวดโจมตีเมืองต่าง ๆ ของยูเครนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งมีความเสี่ยงมาก ที่กองกำลังยูเครนจะยิงตอบโต้กลับไป

ข้อมูล TNN World