จับตา Fed ตลาดคาด คงดอกเบี้ย ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯขึ้น-ราคาน้ำมันอ่อนตัว

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น - ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปิดการประชุมกำหนดนโยบายล่าสุดในวันนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายที่ระมัดระวังก่อนการประกาศผลการประชุม ด้านตลาดการเงินของตุรกีเผชิญความปั่นป่วนหลังจากการจับกุมคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญของประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงหลังจากรัสเซียตกลงที่จะไม่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นเวลา 1 เดือน
---
1. ธนาคารกลางสหรัฐสรุปผลการประชุมล่าสุด
เฟดกำลังจะปิดการประชุมนโยบายล่าสุดในวันนี้ ซึ่งเป็นที่จับตามองของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาพยายามประเมินผลกระทบของนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจมีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% หลังจากการประชุมสองวัน ซึ่งหมายความว่านักลงทุนจะให้ความสนใจไปที่คำแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด และการคาดการณ์เศรษฐกิจที่อัปเดตของธนาคารกลาง
การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอาจทำให้เฟดกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้เฟดต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างเศรษฐกิจที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.60% ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนเตือนว่าไม่ควรลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป และต้องรอดูผลกระทบของภาษีต่อข้อมูลเศรษฐกิจก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนนโยบาย
---
2. ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นก่อนประกาศผลประชุมเฟด
ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ ท่ามกลางการซื้อขายที่ระมัดระวังก่อนการสรุปผลการประชุมเฟด
- ณ เวลา 04:35 ET (08:35GMT)
- S&P 500 ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 10 จุด หรือ 0.2%
- Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ขยับขึ้น 45 จุด หรือ 0.2%
- Dow ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 55 จุด หรือ 0.1%
ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทเผชิญแรงกดดันในวันอังคาร โดย
- Dow Jones ลดลง 0.6%
- S&P 500 ลดลงมากกว่า 1%
- Nasdaq Composite ลดลง 1.7%
ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันจากความกังวลว่านโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับการยืนยันเพิ่มเติมจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอล่าสุด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อต เบสเซนต์ ยังกล่าวว่า "ไม่มีการรับประกัน" ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้
---
3. ตลาดตุรกีผันผวนหนัก
เอเคร็ม อิมาโมลู นายกเทศมนตรีอิสตันบูล และคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญของ ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ถูกจับกุมเมื่อวันพุธในข้อหารวมถึงการทุจริตและให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย
การจับกุมครั้งนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านหลักประณามว่าเป็น "ความพยายามทำรัฐประหารต่อว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป"
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดการเงินตุรกีเกิดความปั่นป่วน:
- ดัชนีหุ้นหลักของตุรกี BIST 100 ร่วงลง 7%
- ค่าเงิน ลีราตุรกี อ่อนค่าลง มากกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
อิมาโมลูมีแนวโน้มจะได้รับการเสนอชื่อเป็น ตัวแทนของพรรคฝ่ายค้านรีพับลิกัน (CHP) เพื่อท้าทายแอร์โดอัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้า ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในปี 2028 อย่างไรก็ตาม แอร์โดอันได้ดำรงตำแหน่งครบสองสมัยตามกฎหมายแล้ว และหากต้องการลงสมัครอีกครั้ง เขาจะต้องเรียกเลือกตั้งก่อนกำหนดหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
---
4. ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5%
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.5% ตามที่คาดการณ์ไว้
เจ้าหน้าที่ BOJ ตัดสินใจใช้เวลาศึกษาผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก
นอกเหนือจาก BOJ และ Fed แล้ว สัปดาห์นี้ยังมีการประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่
- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)
- ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ (SNB)
- ธนาคารประชาชนจีน (PBoC)
- ธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank)
---
5. ราคาน้ำมันร่วงหลังข้อตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพลังงานยูเครน
ราคาน้ำมันร่วงลงในวันพุธ ต่อเนื่องจากการลดลงของวันก่อนหน้า หลังจากรัสเซียตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นเวลา 30 วัน ภายหลังการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และ วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ซึ่งอาจนำไปสู่การส่งออกน้ำมันรัสเซียเพิ่มขึ้นในตลาดโลก
- ณ เวลา 04:35 ET
- ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ (Brent Crude) ลดลง 0.8% อยู่ที่ 70.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- ราคาน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) ลดลง 0.8% อยู่ที่ 66.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งสองสัญญาร่วงลงราว 1% ในวันอังคาร
แม้ว่าข้อตกลงนี้ยังไม่ได้รับรองการหยุดยิงเต็มรูปแบบ 30 วันตามที่ทรัมป์หวังไว้ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียดและปกป้องโครงสร้างพลังงานที่สำคัญของยูเครน ซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาสันติภาพในวงกว้างมากขึ้นในอนาคต