รีเซต

เดิมพันการเมืองไทย เรายังมีหวังไหมกับการเลือกตั้ง ? กับ อ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

เดิมพันการเมืองไทย เรายังมีหวังไหมกับการเลือกตั้ง ? กับ อ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2568 ( 00:33 )
15

ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยตกอยู่ใต้วิกฤตทั้งใน และนอกประเทศ ไม่ว่าจะปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากโควิด-19 อัตราการเกิดตกต่ำ ไปถึงความขัดแย้งชายแดน และการโดนกีดกันภาษีจากประเทศมหาอำนาจ 

การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จึงถูกมองว่าเป็นเหมือนเดิมพันว่าเราจะได้รัฐบาลที่จะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้หรือไม่ ? และรัฐบาลใหม่เองก็มีความท้าทายมากมายที่รออยู่ ตั้งแต่การเลือกตั้งยังไม่เริ่มต้นด้วย

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าเดิมพันของการเลือกตั้งนี้สูงมาก และมีความปัญหาหลายอย่างที่รอรัฐบาลใหม่อยู่

ฉากทัศน์การเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป และกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจ ที่จะเป็นตัวตัดสิน

การเลือกตั้งในรอบ 3 ปีที่เกิดเหตุการณ์มากมายขึ้นในประเทศไทย ทำให้ อ.สิริพรรณมองว่า ประเด็นที่อยู่ในใจของคนไทยนั้น กระจัดกระจาย และภาพการต่อสู้กับรัฐประหารเองก็จืดจางไปดู แต่ละพรรคเองก็หากลยุทธ์ และนโยบายใหม่มาสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ 

“ถ้าเกิดเรามองในแง่ของขั้วทางการเมือง จริงๆ จะเห็นเป็น 2 ขั้วหลัก คือขั้วของพรรคที่ใช้ ค่าคุณค่าทางการเมือง แล้วก็เน้นนโยบายเป็นหลัก ซึ่งก็คือเพื่อไทยกับไทยกับประชาชน กับอีกข้างหนึ่งคือพรรคที่ใช้การทำงานเชิงพื้นที่ เรียกว่าบ้านใหญ่ แล้วก็จะเป็นพรรคที่เน้นกระแสของการรักษาสถานภาพเดิม ซึ่งคือพรรคภูมิใจไทย แต่ว่าใน 2 ขั้วหลัก มันแบ่งเป็น 3 ค่าย เลยทำให้ประเด็นทางการเมืองครั้งหน้า ต้องรอดูใกล้ๆ เลือกตั้งว่าสโลแกนไหนที่จะอยู่ในใจประชาชน 

เพราะว่าอย่าลืมว่าครั้งที่แล้ว ‘มีลุง ไม่มีเรา’ ก็มาประมาณ 2-3 อาทิตย์ก่อนเลือกตั้ง แต่ว่าในขั้วทางการเมืองตอนนี้ ในสายตาประชาชนไม่ได้มี คู่ต่อสู้หลักที่ประชาชนอยากเอาชนะเหมือนครั้งที่แล้ว ก็คือลุง ดังนั้นคิดว่าความหวังต่อพรรคการเมืองจะกระจัดกระจาย ทำให้ประเมินยาก”

การเลือกตั้งครั้งนี้ ยุทธศาสตร์และนโยบาย แน่นอนว่าจะต่างไปจากครั้งก่อน แล้วคนกลุ่มไหนที่จะเป็นเป้าหมายหลักของแต่ละพรรคในการหาเสียง โหวตเตอร์กลุ่มไหนที่พรรคจะหวังคะแนนกัน ? 

หากย้อนไปดูการเลือกตั้งสองครั้งล่าสุด จะเห็นว่า แต่ละพรรคเน้นนโยบาย หวังกลุ่มเป้าหมายอย่าง First Voter หรือคนรุ่นใหม่ โดยในการเลือกตั้งปี 2562 คนกลุ่มนี้มีมากถึง 7.33 ล้านเสียง คิดเป็นถึง 14.26% ซึ่งเป็นเพราะไทยไม่มีการเลือกตั้งมา 8 ปี และในการเลือกตั้งปี 2566 ก็ยังมีถึงกว่า 4 ล้านเสียง หรือคิดเป็น 7.67%

แต่การเลือกตั้ง 2569 สถิติล่าสุดของกรมการปกครอง ชี้ว่า ชาวไทยอายุ 18-20 ปี ที่ถือว่าเป็น First Voter นั้น เหลือเพียง 2.3 ล้านคน หรือเพียงแค่ 3.7% เท่านั้นกลายเป็นว่า ช่วงวัยที่มีจำนวนมากที่สุด คือ อายุ 41-50 ปี ที่มีเกือบ 10 ล้านคน มากถึง 15.33% สูสีกับวัย 51-60 ปี ที่ 9.8 ล้าน หรือ 15.25% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ มันก็สอดคล้องกับหลักประชากรศาสตร์ของไทย ที่เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้วนั่นเอง

ถึงอย่างไร อ.สิริพรรณก็มองว่า เสียงของคนรุ่นใหม่ก็ยังมีความสำคัญ และมีแนวโน้มว่าจะเลือกพรรคประชาชน แต่บางส่วนเองก็อาจจะหันขวามากขึ้นเช่นกัน  “พูดถึงคนรุ่นใหม่ จากที่เคยถูกประณาม หรือตราหน้าว่าชังชาติ ตอนนี้ก็กลายมาเป็นคนรุ่นใหม่ที่แบบว่ารักชาติ ชาตินิยมแรงก็เยอะมากเลย กระแสทางการเมือง แล้วก็อารมณ์ทางการเมืองนี่แหละ จะเป็นตัวตัดสินใจ” ซึ่งอาจารย์ชี้ว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ 

สำหรับคนรุ่นใหม่เนี่ย ถ้าเกิดเราดูจำนวนผู้เลือกตั้งครั้งแรกนะคะ ของของคนรุ่นใหม่ครั้งหน้าเนี่ยจะมีประมาณ 2 ล้านนะคะ ซึ่งก็คือประมาณ 3.8% ของประชากรที่มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ได้เยอะมากถ้าเทียบกับครั้งก่อนๆ แต่ถ้าบวกกับคนรุ่นใหม่จริงๆ ที่เป็นคนใช้สิทธิ์ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 คือถึงอายุประมาณ 30 ปี ก็จะมีมากถึง 10-15% ก็มีน้ำหนักทีเดียว 

ถ้าโดยส่วนตัวประเมินก็น่าจะเอียงไปทางพรรคประชาชนมากกว่า แต่ว่าจะทั้งหมดหรือไม่ เพราะว่าอย่างที่บอกว่ากระแสชังชาติ ทำให้การมองเรื่องความเปลี่ยนแปลงถูกทำให้เจือจางลง ไปพร้อมกับการขึ้นมาของข้อพิพาทไทย-กัมพูชา พรรคการเมืองที่ดูจะ ร่วมมือกันได้ดีกับทหาร ก็อาจจะฉวยโอกาสนี้ดึงคะแนนตรงนี้ขึ้นมา ก็ต้องจับตาว่า อะไรที่อยู่ในใจคนรุ่นใหม่ 

แต่ถ้าเกิดมองประเด็นของวัย กลุ่มคนที่มีประชากรมากที่สุด คือ Gen x นะคะ แล้วก็ถ้าเกิดรวมกับ Silent Generation กับบูมเมอร์เนี่ย ประมาณ 57% คนกลุ่มนี้ยังให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้อง และความอนุรักษ์นิยม มองความสงบ ความมั่นคงก็คงจะเป็นหัวใจหลักของคนกลุ่มนี้ ดังนั้นถ้าให้มองในภาพรวม ปัญหาความแตกต่างในเรื่องวัยอาจจะลดลง แล้วก็มีจุดร่วมร่วมกันบางอย่าง มากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว

แต่นอกจากเรื่องของวัย อ.สิริพรรณมองว่า กลุ่มที่พรรคจะให้ความสนใจมากที่สุดนั้น คือกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ หรือ Undecided voter และ Swing Voter 

“คือกลุ่มที่อาจจะเปลี่ยนจากน้ำเงิน เป็นส้ม จากส้มเป็นแดง จากแดงเป็นส้ม  ซึ่งถ้าเกิดเราดูจากโพลสำนักต่างๆ เราจะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ มีมากถึง 30-40% ดังนั้นกลุ่มนี้ ถ้าย้ายไปที่เลือกพรรคไหน พรรคนั้นก็จะชนะ เพราะตอนนี้ยังไม่มีพรรคไหนที่ได้คะแนนเรียกว่าเด็ดขาด ซึ่งกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ กระจาย อยู่ในทุกๆ Generation อันนี้คือสิ่งที่พรรคจะต้องจับอารมณ์ให้ได้ว่าประเด็นอะไรที่จะดึง คะแนนตรงนี้กลับมา”

ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ 60 และศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจถอดถอนนายกฯ 

หนึ่งประเด็นที่มีการถกเถียงและพูดคุยในสภามาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว และจะลากยาวต่อถึงรัฐบาลหน้าแน่ๆ คือเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญ รวมไปถึงครั้งนี้ที่จะมีการทำประชามติถึงการแก้ด้วย แต่ อ.สิริพรรณมองว่า ไม่ค่อยมีความหวัง ถึงการจะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 

“มาถึงจุดนี้มองไม่ว่าไม่ค่อยมีความหวังนะคะ โดยส่วนตัวจุดยืนคือ คิดว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ 2560 และก็พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ทำประชามติ 2559 แล้ว แต่ว่าพอมาถึงจุดนี้ เราจะเห็นว่าประเด็นที่เราอยากเห็นการแก้ไข รวมไปถึงกระบวนการของการแก้ไข มันถูกทำให้เจือจางจนแทบจะไม่มีส่วนร่วมของประชาชน เรียกได้ง่ายๆ ว่าถูกไฮแจ็ค การแก้รัฐธรรมนูญถูกจับเป็นตัวประกันของการของเกมการเมือง แล้วที่สำคัญคือ ตัวรัฐธรรมนูญเองได้สร้าง Veto power คืออำนาจที่จะมาหยุดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมันเกิดขึ้นไม่ได้ 

เราเห็น สว.ที่ต้องการให้ตัวเองมีอำนาจอยู่หลังการที่กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญผ่านแล้ว สว. ยังอยากจะคงอำนาจ 1/3 เอาไว้ พูดง่ายๆ ก็คือว่าต่อให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดีแค่ไหน ถ้า สว. ไม่ต้องการ เราก็ยังต้องไปขอใบอนุญาตใบที่ 2 จาก สว.อยู่ดี ซึ่งตรงนั้นเราก็รู้อยู่แล้วว่า การประเด็นของการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มันก้าวหน้าขึ้น ให้มีความเป็นประชาธิปไตย รองรับความขัดแย้งและเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ มากขึ้น มันกลับไปอยู่ในมือของ สว. แค่ 1/3 คือ 67 คน ดังนั้น ณ จุดนี้ ไม่ได้มองว่าเรามีความหวังมากนัก

อยากจะเสนอด้วยซ้ำไปว่า จะแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราในมาตราที่เป็นประโยชน์ จริงๆ แล้วมาคุยกันแต่ละมาตรา ใช้พลังของสังคมให้สร้างความเข้าใจร่วมกันเพื่อสร้างแรงกดดันไปยัง สว. ยังจะดีกว่าที่จะปล่อยให้เหมือนการเขียนเช็คเปล่า ให้ฝั่ง สว.สีน้ำเงินกับพรรคที่ผนึกกำลังกันได้คุมเสียงข้างมากครั้งหน้า

แล้วก็ที่สำคัญการพยายามจะทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ดี นะคะ เพราะว่ามันประหยัดงบประมาณ ประหยัดเวลา แต่ว่า การเร่งรัดในกระบวน การแก้ที่ยังไม่มีความพร้อมที่ยังถูกจับเป็นตัวประกันที่ยังมหาฉันทามติไม่ได้เนี่ย อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะหวังว่าเราจะได้รัฐธรรมนูญฉบับหน้าที่ดีกว่าเดิม

นอกจากรัฐธรรมนูญที่การแก้ไขจะดูมีอุปสรรคปัญหาแล้ว ยังมีเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นายกฯ ถึง 2 คน ถูกถอดถอน ทำให้มีการมองว่า แม้เสียงของประชาชนจะเลือกตั้งไป ก็ถูกอำนาจศาลเข้ามาตัดสินอยู่ดี จนเกิดคำว่านิติสงคราม แทนภาพของรัฐประหาร 

“ต้องบอกว่าบทบาทของศาลไม่ได้เป็นบทบาทเดี่ยว แต่ว่าจะต้องมีลูกคู่ หรือคู่หู เป็นทีมขององค์กรอิสระที่ส่งลูกให้ศาลด้วย คือเรามี Rule of law ซึ่งเป็นหลักนิติรัฐ นิติธรรมที่ควรจะเกิดขึ้น แต่ว่าประเทศไทยเนี่ย ก็แปลงเป็น Rule by law ตีความบทบัญญัติทางกฎหมาย แบบทื่อๆ เพื่อจะจัดการกับฝ่ายตรงกันข้าม แล้วก็เป็นการตีความที่บางครั้งก็เกินสัดส่วนของความผิด หรือไม่สม่ำเสมอ  ไม่คงเส้นคงวา

ตอนนี้มันไปไกลขนาดที่เป็น Rule by referee คือใช้กรรมการในองค์กรอิสระ ในการจัดการรัฐบาลที่ไม่ชอบ ซึ่งตัวศาลรัฐธรรมนูญอาจจะถือว่า เป็นด่านสุดท้ายที่เป็นคนตัดสิน แต่กระบวนการมันต้องเริ่มมาตั้งแต่ กกต. หรือ ปปช. ซึ่งนอกเหนือจะไปศาลรัฐธรรมนูญแล้ว มันยังไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ซึ่งทั้งหมดคนเหล่านี้ได้รับการรับรองมาโดย สว. ดังนั้นกระบวนการนี้ ถ้าเกิดให้มองแบบตรงไปตรงมา ก็คิดว่าองคาพยพเหล่านี้สามารถจัดการกับรัฐบาล หรือพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบได้โดยไม่ต้องใช้การรัฐประหาร ซึ่งเราก็เห็นอยู่ อันนี้ เป็นเรื่องที่อันตราย แล้วจริงๆ ปัญหาก็คือว่า มันจะสร้างความขาดความเชื่อมั่นให้กับองค์กรเหล่านี้เอง” 

การเลือกตั้งอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ อาจารย์สิริพรรณมองว่าปัญหาที่ทำให้การเมืองไทยเรื้อรังอยู่นั้น ที่อาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง และแก้รัฐธรรมนูญนั้น คือเรื่องของสถาบันการเมือง ที่มีส่วนเป็นตัวกำกับพฤติกรรมของคนในสังคม และการทำให้กฎหมายถูกบังคับใช้จริง หรือวัฒนธรรมการรับผิดชอบทางการเมืองควรเกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งนอกจากการถูกปลูกฝังแล้ว ยังเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจัง แล้วก็คือการใช้ตัวสถาบันทางการเมืองที่ออกแบบมาเพื่อให้การตรวจสอบถ่วงดุลมันเกิดขึ้นได้จริง

ซึ่งการจะเกิดวัฒนธรรมเหล่านี้ได้นั้น อาจารย์มองว่า สิ่งที่ประเทศต้องการคือรัฐบุรุษ 

“เราไม่ได้ต้องการนักการเมืองที่ต้องการเสียงประชาชนเพื่อเข้าสู่อำนาจ แต่เราต้องการคนที่ไม่ได้แสวงหาอำนาจเป็นตัวตั้ง แต่เข้ามาแก้ปัญหาในประเทศ แบบนี้เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่เราอยากสร้าง แต่เมื่อชนชั้นนำไทยไม่ได้ทำตัวเป็นรัฐบุรุษ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้มันก็ไม่เกิด ดังนั้นมันเป็นมันเป็นวงจรและวัฏจักรซึ่งกันและกัน ถ้าเราอยากมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้อาจจะต้องเริ่มต้นด้วย การเลือกพรรคการเมือง เลือกนักการเมืองที่จะเป็นรัฐบุรุษ ไม่ใช่เลือกเพราะเขามาเพื่อใช้อำนาจ”


ความท้าทาย และเดิมพันที่รอรัฐบาลใหม่อยู่ 

ศูนย์วิจัยทีทีบี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะโตเพียง 1.6% ฉุดเศรษฐกิจจนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทั้งกำแพงภาษียังส่งผลต่อการส่งออกไทย และแม้การท่องเที่ยวอาจจะยังพอโตได้ แต่ไทยเองก็เริ่มจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ลดลงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

เรียกได้ว่าการเลือกตั้ง ที่เกิดขึ้นพร้อมปัญหารุมเร้าทั้งใน และนอกประเทศมากมาย ก็เหมือนเป็นการเสิร์ฟความท้าทายให้ใครก็ตามที่จะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ได้พิสูจน์ 

นักรัฐศาสตร์มองว่า เดิมพันใหญ่ของการเลือกตั้งนี้ คือการที่เราจะได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมืองหรือไม่ ?

“เดิมพันหลักของการเลือกตั้งข้างหน้าเนี่ยคือเราจะได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมืองในแง่ของคะแนนเสียงที่ได้มาความเชื่อมั่นในความสามารถ หรือจะเป็นแค่การจับมือ เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น เดิมพันครั้งหน้าของประเทศเนี่ยสูงมาก แต่โดยส่วนตัวเนี่ยมองว่าเราตกอยู่ภายใต้การเมืองที่เป็น การละคร แล้วก็ใช้ประเด็นทางการเมืองเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ มากกว่าจะได้รัฐบาล ที่มีเจตจำนงในการแก้ปัญหาอย่างจริงใจ”

“ทั้งความท้าทายของรัฐบาลครั้งหน้าเนี่ย เบื้องต้นเลยคือตัวรัฐบาลเอง จะมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชนมากน้อยแค่ไหนเพราะว่าคิดว่าผลการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะไม่มีพรรคใดพรรคนึงได้เสียงข้างมากเกินครึ่งหรือแลนด์สไลด์ หรือแม้แต่ใกล้เคียง 200 คะแนน ดังนั้นก็จะต้องเป็น การจับมือร่วมรัฐบาล กระบวนการจับมือร่วมรัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้อย่างไรว่า เราจะได้คณะบุคคลที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาจริงๆ 

เมื่อได้แล้วเนี่ย ไม่รู้จะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนด้วย เพราะรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลา และที่สำคัญที่เขาจะต้องเผชิญมากๆเลยเนี่ย คือปัญหาเร่งด่วน อย่างน้อยก็น่าจะ 4 ด้าน” นั่นก็คือ 

1) คือเศรษฐกิจปากท้อง ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง 

2) การแก้ปัญหา ความมั่นคงของของประชาชน ทั้งปัญหาชายแดน และปัญหา cyber scammer หรือภัยพิบัติ

3) ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะ PM2.5 หรือโลกร้อน 

4) ปัญหาในชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น ยาเสพติด, ปัญหาหนี้สินครัวเรือนต่างๆ ฯลฯ

“ทุกรัฐบาลต้องเผชิญหน้าแล้วก็เป็นปัญหาที่ไม่อาจจะแก้ได้ด้วย เรียกว่า quick win หรือระยะสั้นนะ การจะมาแจกเงินที่คนอาจจะชอบ หรือการเอาเงินระยะยาวมาใช้อาจจะไม่ได้ ชนะใจประชาชนเท่ากับการมองระยะยาวว่า ประชาชนจะมีชีวิตที่มีสุข มีความสงบสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของของสังคมไทย น่าจะเป็นเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ซึ่งด้วยปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ทำให้อาจารย์มองว่า มันอาจจะไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีความหวัง แต่ก็หวังว่ารัฐบาลที่ได้มานั้น จะไม่ใช้ประชาชน และปัญหามาต่อรองอำนาจของตัวเอง

“การเลือกตั้งครั้งหน้า มันจะไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนมีความหวัง มันจะเป็นการเลือกตั้งที่เมื่อต้องเลือกก็เลือก แล้วก็ต้องหวังว่า รัฐบาลจะไม่ใจจืดใจดำกับประชาชน อย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน อย่าเอาประเทศชาติ มาเป็นเครื่องมือต่อรองทางอำนาจ คิดว่าสังคมไทยอาจจะจะต้องอยู่ในภาวะอึมครึมไป จนกว่าปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น

ที่พูดแบบนี้คือเรายังไม่เห็นตัวแสดงทางการเมือง ที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ พูดความจริงกับประชาชนว่าปัญหาคืออะไร ทุกคนกลัวว่าพูดไปแล้วกระแสสังคมไม่ชอบ คะแนนนิยมในการเลือกตั้งจะตกต่ำ อย่างปัญหาข้อพิพาทชายแดน ทุกคนก็พูดแค่ว่า เรื่องจะต้องจบและให้ทหารเป็นคนเข้ามาจัดการ ซึ่งคำว่า จบ จะจบได้อย่างไร แบบไหน  แล้วมันก็ผูกพันไปกับเรื่องเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกาจะเข้ามาแสดงบทบาทอย่างไร เราต้องการรัฐบุรุษที่จะต้องคิดภาพรวมให้จบ แล้วก็คำว่าเสียสละตัวเอง หมายความว่าบางครั้งคุณต้องกล้าพูดในสิ่งที่ประชาชนอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ใช้เวลาอธิบายให้ประชาชน ฟังว่าแนวทางนี้คือแนวทางที่ถูกถูกต้องและเหมาะสมกับประเทศชาติอย่างไร แต่เรายังไม่เห็นนักการเมืองแบบนั้น ดังนั้นก็เลยยังไม่ค่อยมีความหวังกับการเลือกตั้งครั้งหน้าเท่าไหร่” อาจารย์สิริพรรณสรุป 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง