เร่งเครื่องก่อนยุบสภา จับตาเบิกจ่าย-ลดดบ.

#จีดีพี #ทันหุ้น – กูรูยกบทเรียนจีดีพีไตรมาส 3 วูบเหลือ 1.2% แนะรัฐบาลเร่งเครื่องก่อนยุบสภา ชี้ต้องเร่งเบิกจ่ายทั้งรัฐ-วิสาหกิจ เร่งดัน FTA ใช้จังหวะข้อพิพาทดึงจีนเที่ยว ขณะที่ธปท.ควรเสริมทัพลดดอกเบี้ยช่วย ด้านคลังเชื่อไตรมาส 4 จีดีพียังโตได้เกิน 0.6% นักวิเคราะห์แนะเน้นหุ้นปันผลสูง
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทย (GDP) ไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 1.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ปรับตัวลดลง 0.6% เทียบไตรมาสก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาสที่ลดลง 9 เดือนแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.4% การใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 2.6% การลงทุนรวมขยายตัว 1.1 % ชะลอตัวลงแม้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.2% แต่การลงทุนภาครัฐลดลง 5.3% ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ขณะที่การส่งออกสินค้าไตรมาส 3/2568 เพิ่มขึ้น 11.5% ทั้งนี้ได้มีการปรับประมาณการส่งออกปี 2568 ขึ้นเป็น 11.2% จากเดิมที่ตั้งไว้ 5.5% ซึ่ง 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกขยายตัว 13.8%
ส่วน GDP ไตรมาส 4/2568 คาดขยายตัวที่ 0.6% รวมกับมาตรการคนละครึ่งพลัสเฟสแรกและมาตรการที่ออกมาแล้ว ส่งออกจะชะลอตัวจากภาษีสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมาเกิดในไตรมาส 4/2568 ส่งผลให้ GDP ทั้งปี 2568 เติบโตที่ 2% ชะลอลงจากปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% แต่ยังคาดหวังมาตรการของภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปี จะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 เติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2-2.2% ค่ากลาง 1.7% จากปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่ได้ดำเนินนโยบายต่างๆ เพิ่มเติมในไตรมาส 4/2568 ทำให้ส่งผลที่ดีต่อเศรษฐกิจในปีหน้า คาดว่ากรอบงบประมาณการลงทุนของปีหน้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร แต่ยังกังวลปัจจัยการกีดกันการค้าของสหรัฐ ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่สูง รวมทั้งบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองก่อนและหลังการเลือกตั้ง
@ คลังพร้อมดันศก.
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มั่นใจว่า จีดีพีของไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เกิน 2% โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเสาที่ 1 ของรัฐบาลที่ได้ประกาศใช้ไปทั้งเรื่องของคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุกจีดีพีไตรมาส 4/2568 ให้ขยายตัวได้มากกว่า 0.6% และทั้งปีก็จะโตเกิน 2% ส่วน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้จะเสนอมาตรการคนละครึ่งพลัสเติมเงินให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาอัพสกิลการค้าขายรายละ 2,000 บาท จะเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุกในฝั่งร้านค้า ส่วนกรณีการเจรจาภาษีตอบโต้สหรัฐยังเป็นไปตามกรอบเดิม มอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์เร่งสร้างความเข้าใจกับทูตสหรัฐเพื่อให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น
@ เร่งเครื่องก่อนยุบสภา
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผย “ทันหุ้น” ว่า แนะนำรัฐบาลแร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนที่จะมีการยุบสภา โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันถือว่าโชคดีที่งบประมาณลงทุุนราว 7 แสนล้านบาทต่อปี ได้ผ่านสภาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น กลยุทธ์สำคัญคือการวางแผนและการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างให้เสร็จสิ้นภายในช่วง 3-4 เดือน ที่รัฐบาลรับผิดชอบ หากปล่อยให้เกิดการยุบสภาไปก่อน การดำเนินการทุกอย่างจะหมดสิทธิ์และทำอะไรไม่ได้เลย
นอกจากนี้ยังสามารถใช้กลไกของรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายเงินลงทุน โดยงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ เช่น การไฟฟ้าและการประปา การเร่งรัดการลงทุนส่วนนี้จะสามารถช่วยชดเชยกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้
ขณะเดียวกันในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเข้ามามีบทบาทเสริม เช่นพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยอีกสักนิด เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกดีขึ้น และทำให้การท่องเที่ยวมีราคาถูกลง รวมถึงควรเข้ามาช่วยในเชิงของการจัดการหนี้ครัวเรือนและหนี้ของภาคธุรกิจเอกชน
นอกจากนี้จากควรคว้าโอกาสที่จีนมีข้อพิพาทกับญี่ปุ่น ในการดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทย หากรัฐบาลให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย ก็มีโอกาสดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในช่วงฤดูการท่องเที่ยวนี้ รวมถึงการเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะกับตลาดขนาดใหญ่อย่าง สหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษ (UK) เพื่อให้มาช่วยชดเชยการส่งออกได้
@ เน้น “ปันผลสูง” เกราะกำบัง
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ประเมินเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงผลักดันจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้นจีดีพีไตรมาส 3 ที่ต่ำคาดนั้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์ว่า แม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุด แต่บรรยากาศการลงทุนยังไม่เอื้ออำนวย กลยุทธ์หลักในสถานการณ์ปัจจุบันจึงต้องเน้นที่ "หุ้นปันผลสูง" เนื่องจากเป็นจุดแข็งเดียวที่เหลืออยู่ของตลาดหุ้นไทย อัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ประมาณ 4.2% นักลงทุนควรหาหุ้นที่จ่ายปันผลต่อปี สูงกว่า 4% เพื่อใช้เป็นเกราะกำบังในช่วงตลาดพักฐาน โดยหุ้นเหล่านี้จะพักตัวน้อยกว่าตลาดโดยรวม กลุ่มหุ้นที่แนะนำ เช่น PTT (6%), SCB (8%), KBANK (7%), BAM (7%) และ REITs (9%) และหากรัฐบาลประกาศใช้ TISA ในเดือนธันวาคม จะเป็นการนำเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาด ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กได้ เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยมีความถนัดในหุ้นกลุ่มนี้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
