ญี่ปุ่น-อินเดีย กระชับมิตร หนุนเศรษฐกิจ เสริมแกร่งความมั่นคง

"ญี่ปุ่น" จับมือ "อินเดีย" กระชับความสัมพันธ์เดินหน้าร่วมมือสู่อนาคต ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
ภาษีทรัมป์ กระชับมิตร จากแรงกดดันของสหรัฐฯ ทำให้วันนี้เราได้เห็นหลายประเทศ ที่เคยเมินใส่กัน วันนี้หันหน้ากลับมาจับมือ ฟื้นความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ก็คือ ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่ฟื้นความมั่นคงร่วมกันครั้งแรกรอบ 17 ปี และญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินมหาศาลมากถึง 10 ล้านล้านเยน ลงทุนในอินเดียยาวถึง 10 ปี
ล่าสุดนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (ก่อนประกาศลาออกจากตำแหน่ง) และนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้จัดประชุมสุดยอดและทำตกลงกันเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ประกาศเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ โดยทั้งสองชาติต่างเห็นพ้องกันในความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์พิเศษและหุ้นส่วนระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวันนี้ญี่ปุ่นกำลังให้ความสำคัญกับอินเดียมากขึ้น ตามบทบาทที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ
นายอิชิบะระบุว่า นายโมดีมีส่วนช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และเขาเชื่อว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้จะยกระดับความสัมพันธ์ไปอีกขั้นในอีก 10 ปีข้างหน้า พร้อมกล่าวว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น และอินเดียสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยนวัตกรรม ขณะที่ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตระดับโลกได้
ขณะที่นายโมดีเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศประชาธิปไตยที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างอินเดียและญี่ปุ่น
ทั้งนี้ญี่ปุ่นและอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจระดับ TOP 5 ของโลก โดยเฉพาะอินเดียที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และกำลังขึ้นแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นที่ 4 ของโลกในปีนี้ด้วยขนาดเศรษฐกิจกว่า 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอันดับที่หนึ่งคือ สหรัฐอเมริกา ตามด้วยจีน และเยอรมนี
ด้านสื่อของญี่ปุ่นรายงานว่า หลังการเจรจาที่กรุงโตเกียว ผู้นำของ 2 ชาติ ได้เปิดตัววิสัยทัศน์ร่วมระบุเป้าหมายว่า จะมีความร่วมมือของทั้งสองประเทศที่สำคัญ คือ การเพิ่มการลงทุนของญี่ปุ่นในอินเดียให้ถึง 10 ล้านล้านเยน ( หรือประมาณ 68,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในระยะ 10 ปี
โดยแผนความร่วมมือนี้ มุ่งเน้นไปที่ด้านของเทคโนโลยี มีเป้าหมาย เพื่อช่วยให้บริษัทญี่ปุ่น ในสาขาเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีการจัดตั้งโครงการ AI Cooperation Initiative เพื่อแลกเปลี่ยนนักวิจัยรุ่นใหม่ และพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคม รวมไปถึงการลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังตั้งเป้าเพิ่มการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกันให้มากถึง 5 แสนคนภายใน 5 ปี โดยเฉพาะการจ้างงานแรงงานผู้เชี่ยวชาญจากอินเดีย ด้านเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีชั้นสูง ปัจจุบันมีชาวอินเดียราว 25,000 คน ที่เข้ามาทำงานหรือฝึกอบรมในญี่ปุ่นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากญี่ปุ่นคาดว่าจะขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูงถึง 790,000 คนภายในปี 2573 ขณะที่อินเดียมีวิศวกรจบใหม่กว่า 1ล้าน 5 แสนคนต่อปี ญี่ปุ่นจึงมุ่งใช้ทรัพยากรบุคลากรของอินเดียเพื่อปิดช่องว่างแรงงานให้ได้
ที่ผ่านมาหลายบริษัทญี่ปุ่นก็ได้เริ่มต้นเปิดรับแรงงานจากอินเดียแล้ว เช่น Sompo Care ผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งได้เริ่มจ้างและฝึกอบรมพนักงานชาวอินเดียตั้งแต่ปี 2567 รวมถึง Sekisho Energy ที่พัฒนาโครงการจับคู่ระหว่างนักศึกษาอินเดียกับบริษัทญี่ปุ่น พร้อมสนับสนุนการเรียนภาษาญี่ปุ่นและการจัดหางาน
การลงทุนและการแลกเปลี่ยนบุคลากรเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างสะพานทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นและอินเดีย แต่ยังช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นใช้ฐานในอินเดียขยายไปสู่ตลาดแอฟริกา ที่คาดว่าจะเติบโตตามจำนวนประชากรในอนาคตด้วย
นอกจากจับมือด้านเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นและอินเดียยังเดินหน้าด้านความมั่นคง ในการประชุมครั้งนี้ทั้งสองประเทศยังแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ตามแถลงการณ์ร่วมฉบับแยกต่างหาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นในน่านน้ำเหล่านี้
และได้ออกคำประกาศร่วมด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นการปรับปรุงเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้ในปี 2551 เพื่อสะท้อนถึงขั้นตอนใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนกัน โดยให้คำมั่นว่าจะขยายการฝึกซ้อมระหว่างกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นและกองทัพอินเดีย
วิกฤตส่งออกญี่ปุ่น นโยบายทรัมป์กดดันหนัก
สาเหตุที่ญี่ปุ่น ต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่ที่มีความแข็งแกร่งอย่างอินเดีย เพราะตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเจอกับความเสี่ยงครั้งสำคัญ จากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการถูกบีบด้วยภาษีนำเข้า ซึ่งภาคส่งออกเป็นเสาหลักของประเทศ
ภาคการส่งออกของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตและอาจจะดิ่งหนักไปมากกว่านี้ได้อีก จากผลกระทบของภาษีทรัมป์
กระทรวงการคลังญี่ปุ่นรายงานยอดส่งออกเดือน กรกฎาคม 2568 ปรับตัวลง 2.6% แตะที่ระดับ 9.36 ล้านล้านเยน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 และลดลงอย่างมากจากเดือนมิถุนายน 2568 ที่ขยับลงเพียง 0.5% และตัวเลขนี้ยังย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.1%
นอกจากนี้การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคมยังเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากร
แม้กระทั่งยอดนำเข้าเดือนกรกฎาคมก็ปรับตัวลง 7.5% แตะระดับ 9.48 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 2 เดือน
แต่อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นขาดดุลการค้าลดลง 81.3% ในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 1.175 แสนล้านเยน (795 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าลดลงอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากการชะลอตัวของราคาพลังงาน
เมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค ญี่ปุ่นยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 5.851 แสนล้านเยน แต่ลดลงมาถึง 23.9% โดยยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง โดยลดลง 10.1% ในเดือนกรกฎาคม และลดลง 11.4% ในเดือนมิถุนายน ส่วนการนำเข้าก็ลดลง 0.8%
ที่ต้องจับตา เพราะถือว่าสาหัสที่สุด ก็คือการส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่น ร่วงลงไปแล้วถึง 28.4% เมื่อพิจารณาเป็นมูลค่า เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์สู่ระดับ 27.5% ในเดือนเมษายน ต่อมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีดังกล่าวลงเหลือ 15% และล่าสุดมีการลงนามและประกาศบังคับใช้ภาษีดังกล่าวแล้ว และจะมีผลในวันที่ 16 กันยายน 2568
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโยบายภาษีสหรัฐฯมีผลกระทบแล้วต่อภาคการส่งออก และกำลังจะลุกลามไปถึงเศรษฐกิจทั้งประเทศได้ และทางการของญี่ปุ่นเองก็รู้ตัวดี และมีการหั่นจีดีพีสำหรับปีนี้ลงแล้ว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เหลือเพียงที่ระดับ 0.7% จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะโตที่ 1.2% เมื่อเดือนมกราคม 2568 โดยการปรับลดดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมสภาเศรษฐกิจสูงสุดของประเทศเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568
แม้ตัวเลขใหม่นี้ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของภาคเอกชนซึ่งอยู่ที่ 0.5% แต่ก็สะท้อนความกังวลว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทญี่ปุ่นชะลอการลงทุน และส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งเป็นสองแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
นอกจากนี้คาดการณ์การบริโภคภาคเอกชน ก็ถูกปรับลดลงเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกำลังบีบคั้นกำลังซื้อของครัวเรือน ซึ่งการบริโภคภาคเอกชนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดแล้วเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
