รีเซต

ข้อมูล 2 ปี ปลดล็อกกัญชา ทำค่ารักษาผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 1.5 หมื่นล้าน

ข้อมูล 2 ปี ปลดล็อกกัญชา ทำค่ารักษาผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 1.5 หมื่นล้าน
TNN ช่อง16
1 มิถุนายน 2567 ( 14:35 )
38


การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี ปัญหาและผลกระทบจากการใช้กัญชาอย่างแพร่หลายเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนนโยบายอีกครั้ง


สมศักดิ์เปิดเวทีรับฟังข้อมูลผลกระทบกัญชาจากทุกภาคส่วน


เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเวทีรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนต่างๆ กว่า 15 หน่วยงานและองค์กร ประกอบด้วยราชวิทยาลัยแพทย์ 2 แห่ง สมาคมแพทย์ 2 แห่ง มูลนิธิและสถาบันด้านเด็กและครอบครัว 4 แห่ง รวมถึงเครือข่ายประชาชนและเยาวชนอีกหลายกลุ่ม เพื่อระดมสมองหาแนวทางจัดการกับปัญหากัญชาให้ครอบคลุมทุกมิติ


งานวิจัยของสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศพบว่า สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ในกัญชา ส่งผลเสียต่อพัฒนาการสมองในช่วงวัยรุ่นอย่างรุนแรง มีผลให้ค่าเฉลี่ยระดับสติปัญญา (IQ) ลดลงถึง 8 จุด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายสูงขึ้น 7 เท่า รวมถึงความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ อีกมากมาย ระบุชัดว่ากัญชาไม่ใช่สารที่ปลอดภัยอย่างที่หลายคนเข้าใจ


ผลการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า ภายหลังการปลดล็อกกัญชาในช่วงปี พ.ศ. 2565-2567 ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาเพิ่มสูงขึ้นถึง 15,000-21,000 ล้านบาท ต่อปี เพิ่มขึ้นถึง 5-6 เท่าจากช่วงก่อนปลดล็อกที่มีตัวเลขอยู่ที่ 3,200-3,800 ล้านบาท สะท้อนภาระทางเศรษฐกิจด้านสาธารณสุขที่พุ่งสูงขึ้นจากผลพวงของนโยบายดังกล่าว  


สมศักดิ์ยืนยันนำข้อมูลสู่ ครม. พิจารณาทบทวนกฎหมาย


จากข้อมูลอันหนักแน่นที่นำเสนอในวันนี้ นายสมศักดิ์ได้ให้คำมั่นว่า จะนำข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อปรับปรุงนโยบายและมาตรการควบคุมกัญชาให้รัดกุมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเปิดรับฟังความเห็นเพิ่มเติมจากผู้ที่อาจมีมุมมองแตกต่าง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สมดุลและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายมากที่สุด


เสียงจากภาคประชาสังคม หนุนกัญชากลับเป็นยาเสพติด

ในการประชุมครั้งนี้ ตัวแทนจากภาคประชาสังคมอย่างน้อย 10 กลุ่ม อาทิ มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และเครือข่ายเยาวชนไม่นะกัญชาและยาเสพติด ต่างแสดงจุดยืนตรงกันว่า การปลดล็อกกัญชาก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี จึงเห็นควรนำกัญชากลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมในฐานะยาเสพติดให้โทษอีกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนและคนทั่วไป


กัญชาทางการแพทย์ยังคงเดินหน้า


แม้การนำกัญชากลับไปควบคุมในฐานะยาเสพติดอาจสร้างความกังวลต่อผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ในความเป็นจริง การวิจัยพัฒนากัญชาและสารสกัดเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ต้องมีการกำหนดมาตรฐานการใช้อย่างเข้มงวดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดภายใต้การกำกับดูแลของบุคลากรทางการแพทย์


การตัดสินใจว่าประเทศไทยจะก้าวเดินไปในทิศทางใดกับกัญชานั้น ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของรัฐบาล แต่การได้รับข้อมูลเชิงประจักษ์จากหลากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้ในครั้งนี้ จะช่วยให้การกำหนดนโยบายในอนาคตมีความแม่นยำและรอบคอบมากขึ้น เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการลดผลกระทบ เพื่อให้สังคมไทยอยู่ร่วมกับกัญชาได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดและมีภูมิคุ้มกันต่อโทษที่อาจเกิดขึ้น


(อ้างอิงข้อมูลจาก: ปปส. / ข้อมูลเชิงสถิติจากหน่วยงาน กระทรวงสาธารณสุข)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง