5 ปี ตำรวจไทยฆ่าตัวตาย 173 นาย วิกฤตสอบสวนซ้ำเติมปัญหาซึมเศร้า

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตอย่างน่าเป็นห่วง ข้อมูลล่าสุดจากโรงพยาบาลตำรวจชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ “กระทำอัตวินิบาตกรรม” แล้วรวม 173 ราย ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนปัญหาทางจิตใจของบุคลากรในเครื่องแบบ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความตึงเครียดจากภาระหน้าที่ การถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน และความรู้สึกโดดเดี่ยวในระบบราชการที่เปราะบาง
“หัวใจสำคัญของงานยุติธรรม” กับภาระที่ล้นมือ
ภายใต้เสียงเตือนเรื่องสุขภาพจิตในองค์กร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมากำชับให้ผู้บัญชาการและผู้บังคับการในทุกพื้นที่ เร่งตรวจสอบสถานการณ์กำลังพลในสายงานสอบสวน พร้อมย้ำว่า “พนักงานสอบสวนคืองานหัวใจสำคัญของการอำนวยความยุติธรรม” ซึ่งไม่สามารถปล่อยให้ระบบเดินหน้าภายใต้ภาวะคนล้นงานได้อีกต่อไป
แผนเร่งด่วนที่ออกมา คือการปรับโครงสร้างกำลังพล โดยให้โรงพักที่ภาระงานเบาช่วยเกลี่ยกำลังไปยังพื้นที่ที่มีงานล้น ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาพิจารณา “ตำแหน่งควบ” และ “ตำแหน่งเลื่อนไหล” เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถเติบโตในสายงานเดิมโดยไม่ถูกจำกัดเส้นทางอาชีพ
เมื่อ “งานสอบสวน” กลายเป็นจุดเปราะทางสุขภาพจิต
ข้อมูลจากโรงพยาบาลตำรวจระบุว่า พนักงานสอบสวนในสถานีตำรวจขนาดใหญ่ต้องรับมือกับจำนวนคดีที่มากเกินกำลัง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่บางรายเข้าสู่ภาวะเครียดเรื้อรัง และพัฒนาเป็นอาการซึมเศร้าโดยไม่มีระบบดูแลเฉพาะทางรองรับ
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า ผบ.ตร.ให้ความสำคัญกับปัญหานี้ และได้วางแนวทางบูรณาการร่วมระหว่างสายงานกำลังพล แพทย์ตำรวจ และผู้บังคับบัญชา เพื่อออกแบบระบบที่ตอบโจทย์จริงในพื้นที่ปฏิบัติงาน โดยมีเป้าหมายไม่ให้เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญความเครียดโดยลำพัง
Depress We Care โครงการเยียวยาที่โตจากความจำเป็น
โครงการ “Depress We Care ซึมเศราเราใส่ใจ” จัดตั้งขึ้นโดยโรงพยาบาลตำรวจเพื่อให้คำปรึกษาและดูแลจิตใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางออนไลน์และสายด่วนฉุกเฉิน
ข้อมูลจากปี 2561 ถึงต้นปี 2567 พบว่ามีผู้ใช้บริการมากกว่า 8,700 ราย โดยในช่วงปี 2564 มีอัตราการใช้บริการสายด่วนสูงสุดถึง 1,675 ครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง
วิกฤตซ้อนวิกฤต เครียด-ถูกสอบ-ไร้ระบบรองรับ
หลายกรณีของตำรวจที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีจุดร่วมคล้ายกัน เช่น การถูกตั้งกรรมการสอบสวนจากต้นสังกัด หรือปัญหาส่วนตัวที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง บางรายแม้เคยเข้ารับการบำบัดอาการซึมเศร้ามาแล้ว แต่ไม่ได้รับเวลาพักฟื้นอย่างเพียงพอ หรือกลับไปทำงานโดยไม่มีระบบติดตามสุขภาพจิต
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ระบบราชการตำรวจมีโครงสร้างที่รองรับและป้องกันความเปราะบางของบุคลากรได้จริงหรือยัง หรือยังคงยึดกับรูปแบบการประเมินผลที่เน้นวินัยมากกว่าความเป็นอยู่ของผู้ปฏิบัติงาน
จากความเครียดเชิงโครงสร้าง สู่แผนปรับองค์กรจากบนลงล่าง
แผนของ ผบ.ตร. ที่ประกาศออกมาไม่ได้หยุดแค่การจัดคน แต่กำลังขยับสู่การปรับโครงสร้างสายงานสอบสวนในระยะยาว ทั้งในด้านความก้าวหน้า การเพิ่มอัตรากำลัง และการออกแบบระบบดูแลสุขภาพจิตให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงานอย่างจริงจัง
เมื่อเครื่องแบบไม่อาจป้องกันเจ้าหน้าที่จากความรู้สึกอ่อนแรงทางจิตใจ ขวัญกำลังใจและความมั่นคงทางอารมณ์จึงกลายเป็นประเด็นที่ผู้บริหารองค์กรตำรวจต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่
173 ชีวิตที่ไม่ควรเงียบหาย
ตัวเลขตำรวจที่ฆ่าตัวตายในช่วง 5 ปี คือ 173 นาย เบื้องหลังตัวเลขนี้คือเรื่องราวของบุคคลที่ไม่อาจแบกรับแรงกดดันได้อีกต่อไป หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับตัวทันในครั้งนี้ แผนการของ ผบ.ตร. อาจเป็นมากกว่าการอุดรูรั่วในระบบสอบสวน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนองค์กรให้เข้าใจ “มนุษย์ในเครื่องแบบ” มากกว่าที่เคยเป็น