สหรัฐฯ ทดสอบบินเครื่องบินพลังไฮโดรเจนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกผ่านแล้ว
แม้ว่าพลังงานไฮโดรเจนจะยังไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มยานพาหนะส่วนบุคคล แต่ภาคการขนส่งนั้นมีแนวโน้มจะนำพลังงานไฮโดรเจนไปใช้มากขึ้นจากกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถบรรทุก รถไฟ รวมไปถึงเครื่องบิน โดยเฉพาะเครื่องบินจากบริษัท ซีโร่อาเวีย (ZeroAvia) สตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกาที่ให้บริการทั้งในสหรัฐฯ และอังกฤษ ได้ผ่านการทดสอบนำเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนที่เคลมว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นบินครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมใช้ให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2025 นี้
เครื่องบินดังกล่าวมีชื่อว่า ไฮฟลายเออร์ ทู (HyFlyer II) เป็นเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนขนาด 19 ที่นั่ง ต่อยอดมาจากเครื่องบินดอร์เนีย 228 (Dornier 228) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องบินขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีพละกำลัง 600 กิโลวัตต์ (kW) ระยะทางการบินสูงสุดอยู่ที่ 300 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 555 กิโลเมตร ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเทคโนโลยีการบินแห่งชาติของของอังกฤษ (UK Government’s Aerospace Technology Insitute: ATI) กว่า 12.3 ล้านปอนด์ หรือกว่า 500 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 บริษัทประสบความสำเร็จทดสอบการบินในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนย้ายไปประเทศอังกฤษในปี 2020 และประสบความสำเร็จทดสอบเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนไพเปอร์ มาลิบู (Piper Malibu) รุ่น ZA250 แบบ 6 ที่นั่ง ก่อนการพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน ไฮฟลายเออร์ ทู (HyFlyer II)
เครื่องบินไฮฟลายเออร์ ทู (HyFlyer II) ได้รับการอนุญาตจากองค์การการบินพลเรือนของอังกฤษ (UK’s Civil Aviation Authority: CAA) ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อทำการทดสอบบินเป็นครั้งแรกในปีนี้ นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังได้รับอนุญาตให้ขึ้นบินทดสอบจากองค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (FAA) อีกด้วย
ในคลิปการทดสอบนั้นตัวเครื่องบินสามารถขึ้นบินจากสนามทดสอบของบริษัทที่อังกฤษและขึ้นบินกลางอากาศได้เป็นเวลากว่า 10 นาที ตามที่บริษัทกล่าวอ้าง ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญก่อนการเข้าสู่กระบวนการผลิตและผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ทางกฎหมาย เพื่อให้ไฮฟลายเออร์ ทู (HighFlyer II) นั้นทันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2025 นี้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทเท่านั้น โดยบริษัทมีแผนการระยะยาวพัฒนาเครื่องบินโดยสารพลังงานไฮโดรเจนที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 100-200 คน ภายในปี 2030 และมากกว่า 200 คน ภายในปี 2035-2040 ต่อไป
ที่มาข้อมูล Electrek
ที่มารูปภาพ ZeroAvia