เกาะติด "SGC" จ่อเทรด SET กลางธ.ค. โบรกฯ เคาะราคาเหมาะสม 6.00-6.20บ.

บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC หุ้นน้องใหม่ธุรกิจสินเชื่อที่ต่อยอดความสำเร็จมาจาก บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เดินหน้าระดมทุน ปลดล็อกศักยภาพในการเติบโต เพื่อรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ และถือเป็นอีกหุ้นพื้นฐานดีที่ไม่ควรมองข้าม โดย SGC จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลางเดือนธ.ค.65 ในหมวดธุรกิจ เงินทุนและหลักทรัพย์ ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “SGC”
ล่าสุด SGC ประกาศปิดจองซื้อเรียบร้อยแล้ว หลังกำหนดราคา IPO ที่ 3.90 บาท/หุ้น ซึ่งกระแสความร้อนแรง ถือว่าเป็นไปตามคาดหมาย ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน สนับสนุนให้หุ้น IPO ทั้งหมดจำนวน 820ล้านหุ้นได้รับการจองซื้อหมดทั้งจำนวน ขณะที่ บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ระบุ SGC พร้อมเติบโตก้าวกระโดด ให้ราคาเหมาะสมสูงสุดอยู่ที่ 6.20 บาท/หุ้น
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุ SGC เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุก และเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีศักยภาพเติบโตอีกมากในระยะยาว หลังระดมทุน IPO รองรับแนวโน้มความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุกที่ใหญ่มาก และ SGC มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากผู้ให้บริการสินเชื่อท้องถิ่นมากขึ้น
จากจุดเด่นของ SGC ที่ให้บริการสินเชื่อ มีการอนุมัติที่รวดเร็วและมีระบบพิจารณาความเสี่ยงของลูกหนี้ได้ดีมีแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-67 ของ SGC จะเติบโต 9% yoy, 43% yoyและ 36% yoyตามลำดับ จากการเร่งปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุกมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังจากได้เงินระดมทุนจากIPO กำหนด Fair Value ปี 2566 เท่ากับ 6.20 บาท
*** SGC พร้อมก้าวเป็นผู้นำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุกในปี 2569
โดย SGC เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่มิใช่สถาบันทางการเงิน (Non-bank) ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ สำหรับผลิตภัณฑ์ของ SGC ประกอบด้วย (1) สินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (รถบรรทุก รถยนต์นั่ง ส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์) ภายใต้แบรนด์ "รถทำเงิน" (2) สินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Appliances) เครื่องใช้ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (Commercial Appliances) และ เครื่องจักร (Captive Finance) (3) สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน (Debt Consolidation) และ (4) สินเชื่อผ่อนทอง (Click2Gold)
ปัจจุบัน ณ สิ้นงวด Q2/65 SGC มีพนักงานขายที่เป็นมืออาชีพของบริษัทฯ ทั้งสิ้น 274 คน และผ่านเครือข่ายของบริษัทในเครือ (สาขาของ JMART JMT และ SINGER) ที่มีอยู่อีกกว่า 4,820 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน ณ สิ้นงวด Q2/65 มีสินเชื่อทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวนสัญญาของสินเชื่อทุกประเภทรวมกันกว่า 3.2 แสนสัญญา คิดเป็นการปล่อยสินเชื่อเฉลี่ย 4.3 หมื่นบาท/สัญญา และมีจำนวนลูกค้ากว่า 2.8 แสนราย หรือคิดเป็นจำนวนสินเชื่อ 4.9 หมื่นบาท/ราย
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงินที่มิใช่สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กลุ่ม SINGERให้บริการ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันและสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทเน้นขยายสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุก (56%ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด) และสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า (41%) บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อเติบโต 74% (YOY) CAGR ในปี 2562-2564
***คาดกำไรโตเฉลี่ย 29% ใน 3 ปี 65-67
เราคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตเฉลี่ย 35% ในปี 2565-2567โดยทางบริษัทตั้งเป้าหมายจะเติบโตสินเชื่อรถแลกเงิน 40%ต่อปี และสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า 15-20% ต่อปี ด้าน NIM จะทรงตัวในระดับ 12.0-12.1% คาด NPL ratio จะอยู่ที่ 3.8-4.0% ในปี 2565-2567 จากระดับปัจจุบันที่ 3.5%ในขณะที่กำไรจะเติบโตโดยเฉลี่ย (CAGR) 29% YOY ในช่วง 3 ปีข้างหน้าROE จะอยู่ในระดับ 12.9-14.5% ในปี 2565-2567
***โครงสร้างการเสนอขายหุ้น
SGC เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 820 ล้านหุ้น (Par 1 บาท) คิดเป็น 25.08% ของหุ้นทั้งหมด 3,270 ล้านหุ้นภายหลัง IPO โดย SINGER จะยังถือหุ้นประมาณ 74.92% ของทั้งหมด ลดจากก่อน IPO ที่ 100.0%โดยบริษัทฯจะนำเงินทุนที่ได้จากการเสนอขายเพื่อใช้ ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อและ เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม SINGER บางส่วน
***ประเมินราคาเหมาะสม 6.0 บ.
เราประเมินมูลค่าโดยใช้กำไรสุทธิปี 66 ที่ 981 ลบ. หรือกำไรต่อหุ้น (EPS) = 0.30 บ./หุ้นเติบโต 46% YOY เรามองว่า SGC สมควรเทรดที่ P/E สูงกว่า ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15.4 เท่าเนื่องจากมีการเติบโตของสินเชื่อและกำไรสุทธิที่สูงกว่า จึงประเมินราคาเหมาะสมที่ 6.0 บ./หุ้นโดยอิงกับ P/E ที่ 20 เท่า ความเสี่ยงหลักคือ NPL ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นหากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศอ่อนแอ
อย่างไรก็ดี SGC ตั้งเป้าหมาย ภายหลังเข้าจดทะเบียนจะมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น ต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมุ่งสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตแตะระดับ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 หรือเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 32% จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 มีมูลค่าลูกหนี้ 15,102 ล้านบาท