เวิล์ดแบงก์อัดฉีด200ล.ดอลล์ ตลท.เผยประมูลคาร์บอนปี69

#ตลท. #TIA - ตลท. เดินหน้าศึกษาพัฒนาแพลตฟอร์ม Exchange รองรับเทรดโทเคนคาร์บอนเครดิต เชื่อเมื่อ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน บังคับใช้จะสร้างดีมานด์แน่นอน ส่วนในภาคสมัครใจเทรดได้ใน Exchange ที่รับอนุญาต เผยเมษายนปี 2569 เตรียมเป็นตัวกลางจัดประมูลคาร์บอนผ่านการรับวงเงิน 200 ล้านดอลล์ลาร์หนุนโดยเวิล์ดแบงก์ ฟากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยชี้สิ่้งแวดล้อมเป็นเทรนด์ลงทุน พร้อมจ้องตรวจ บจ. แอบอ้างฟอกเขียว
นายสุรพล บุพโกสุม ผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาบริการด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ยังคงศึกษาพัฒนาแพลตฟอร์ม Exchange ที่จะรองรับการเทรดโทเคน (Token) คาร์บอนเครดิต หลังจากที่สำนักงานและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการเดินหน้าเพื่อที่จะทำให้คาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนที่จะเทรดในกระดานได้
@รอกฎหมายชัด
อย่างไรก็ดียังต้องคำนวณความคุ้มค่าในการเทรดคาร์บอนเครดิตด้วย เนื่องจากปัจจุบันไทยยังไม่มีการออกกฎหมายบังคับ และยอมรับว่า ในระยะสั้นการสร้างตลาดคาร์บอนเครดิตอาจจะยังไม่คุ้มค่า แต่จะคุ้มค่าเมื่อกฎหมาย พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ซึ่งเป็นกฎหมายภาคบังคับมีผลบังคับใช้ เนื่องจากจะสร้างความต้องการ (Demand) ที่แน่นอน
ตลาดภาคบังคับคาดจะเกิดขึ้นเมื่อ พ.ร.บ. ลดโลกร้อนมีผลบังคับใช้ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐบาลที่เกี่ยวข้องเคยหารือกับตลาดหลักทรัพย์เพื่อร่วมผลักดันให้เกิดขึ้น ทว่าจากการประเมินในตอนนี้คาดใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการเตรียมการ
และเมื่อตลาดภาคบังคับเกิดขึ้น ก็จะเกื้อหนุนตลาดภาคสมัครใจด้วย เนื่องจากมีกระบวนการที่ต้องนำคาร์บอนเครดิตจากภาคสมัครใจไปใช้ในภาคบังคับ สำหรับผู้ที่มีโทเคนคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจปัจจุบันนี้ สามารถที่จะเทรดได้ในทุก Exchange ที่สามารถเทรดโทเคนได้
ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เดินหน้าเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตระหนักถึงการปล่อยคาร์บอน เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืน ตลอดจนมีการให้ บจ. รายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอน พร้อมกับต้องการให้ภาครัฐเดินหน้าออกกฎหมายบังคับเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความยั่งยืนในการดำเนินงาน และป้องกันการกีดกันทางการค้า เช่นการส่งออกสินค้าไปยุโรปซึ่งจากที่จะต้องเสียภาษีคาร์บอนที่ยุโรปก็เป็นการจัดการที่ไทยแทน
@200 ล.เวิล์ดแบงก์
นายสุรพล กล่าวด้วยว่า ตลาดหลักทรัพย์ยังได้เตรียมเป็นตัวกลางในการจัดประมูลภายใต้โครงการคาร์บอนเครดิต Low Carbon City ที่ได้รับวงเงินกู้จาก World Bank (เวิล์ดแบงก์) สนับสนุนในการดำเนินงานมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะนำโครงการต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องสร้างเป็นคาร์บอนเครดิตมาประมูล เป้าหมายหลักๆ คือองค์กรในต่างประเทศ รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยจะมีการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตผ่าน โกลด์สแตนดาร์ด ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก
ปัจจุบันโครงการได้ผ่านการประชุมที่กระทรวงการคลังแล้ว และอยู่ระหว่างรอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการ โดยในเฟสแรกโครงการจะเน้นด้านการปรับปรุงกระบวนการใช้พลังงานของอาคารภาครัฐ เช่น การติดตั้ง Solar Roof บนอาคารโรงพยาบาล โรงเรียน และสำนักงานของ กทม.
"บทบาทของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้จัดทำระบบประมูล (Auction) เพื่อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการนี้ โดยการประมูลจะผ่าน SET เพื่อให้เกิดความโปร่งใส กำหนดการประมูลเป็น เมษายน ปี 2569 ก่อนเวิล์ดแบงก์จัดประชุมใหญ่ที่ประเทศไทยในช่วงไตรมาส 3/2569"
@TIA เข้ม บจ. ฟอกเขียว
ด้านนางสิริพร จังตระกุล เลขาธิการ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนทุกแห่งต้องรายงานเรื่องความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตไว้ในรายงานประจำปี 56-1 One Report การอ่านรายงานนี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถใช้เป็นปัจจัยในการเลือกตัดสินใจลงทุนในหุ้นได้ ความสำคัญของ ESG (Environmental, Social, and Governance) และคาร์บอนต่อผู้ลงทุน เรื่องเหล่านี้ถือเป็นการลงทุนในระยะยาวที่สำคัญ ซึ่งโลกจะก้าวไปพร้อมกัน หากในอนาคตมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างจริงจัง หรือมีบริษัทที่ทำธุรกิจด้านนี้โดยเฉพาะ ถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน
นอกจากนี้ TIA วางแผนที่จะตรวจสอบว่าบริษัทจดทะเบียนปฏิบัติตามสิ่งที่บันทึกไว้ในรายงาน 56-1 One Report จริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการ "ฟอกเขียว" (Greenwashing) หรือการแอบอ้างว่าทำเรื่องสิ่งแวดล้อมแต่ไม่ได้ทำจริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
