เปิดเกมใหม่? คดียิ่งลักษณ์ยังไม่จบ เตรียมยื่นข้าวแสนล้านสู้คดีจีทูจี

สรุปประเด็นคดีระบายข้าวยิ่งลักษณ์
1. ยิ่งลักษณ์ต้องจ่ายเท่าไหร่?
ศาลปกครองสั่งชดใช้ 10,028 ล้านบาท จากความเสียหายส่วนการระบายข้าวจีทูจี
2. ทำไมไม่ต้องจ่ายทั้ง 35,717 ล้าน?
ศาลชี้คำสั่งเดิมไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีหลักฐานว่าทำให้เสียหายทั้งหมด
3. ขายข้าวแสนล้าน จะช่วยยิ่งลักษณ์ได้ไหม?
ทนายเตรียมยื่นหลักฐานว่ารัฐขายข้าวได้รายได้กว่าแสนล้าน หวังหักล้างหนี้
4. ยิ่งลักษณ์อาจไม่ต้องจ่ายเลยจริงไหม?
ขึ้นกับศาลว่าจะรับพิจารณาคดีใหม่หรือไม่ และให้รายได้นั้นใช้ลดหนี้ได้แค่ไหน
5. ยิ่งลักษณ์กลับไทยได้หรือยัง?
ยังไม่ได้ เพราะมีคดีอาญาค้าง และหมายจับไม่มีอายุความ
-------------------
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยให้ชดใช้เฉพาะส่วน
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากโครงการรับจำนำข้าว โดยศาลมีคำวินิจฉัยว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายในส่วนที่เรียกค่าเสียหายทั้งก้อนจำนวนกว่า 35,717 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำสั่งให้ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบเฉพาะส่วนของความเสียหายที่เกิดจากขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งศาลเห็นว่ามีการเพิกเฉยต่อคำเตือนจากหน่วยงานตรวจสอบ ทั้งจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยชี้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย 50% ของมูลค่าความเสียหายส่วนนี้ หรือประมาณ 10,028 ล้านบาท
“หัวหน้ารัฐบาล ไม่ใช่ผู้รับผิดคนเดียว” ยิ่งลักษณ์เปิดใจหลังศาลตัดสิน
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยแพร่แถลงการณ์ขอความเป็นธรรม ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหาย 10,028 ล้านบาท จากกรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยระบุว่าไม่เคยเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว และศาลปกครองกลางเคยวินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาอย่างชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือชาวนา และไม่ได้ดำเนินการโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงลำพัง
ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซงรายละเอียดในกระบวนการระบายข้าวซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานตามสายราชการ และไม่ควรถูกชี้ให้ต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมตั้งคำถามถึงการบริหารจัดการข้าวในช่วงหลังรัฐประหารที่มีรายงานว่าข้าวกว่า 18.9 ล้านตันถูกขายในราคาต่ำกว่าความเหมาะสมโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง
พร้อมระบุว่าเหตุการณ์ตลอด 11 ปีที่ผ่านมาเป็นกระบวนการที่ประกอบด้วยการยึดอำนาจ ยัดข้อหา และอายัดทรัพย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมย้ำว่าการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมยังคงดำเนินต่อไปตามกรอบของกฎหมาย และหากนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งยังไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยก็ย่อมไม่มีหลักประกันเช่นกัน
ทนายเตรียมยื่นหลักฐานใหม่ หวังให้ศาลพิจารณาอีกครั้ง
ภายหลังคำพิพากษา นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่าทีมกฎหมายเตรียมยื่นเอกสารทางราชการชุดใหม่ต่อศาลปกครองภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อขอให้ศาลพิจารณาตั้งคดีใหม่
เอกสารดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรายได้ที่รัฐได้รับจากการขายข้าวในสต๊อก ตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2557 เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน โดยทนายระบุว่า ยอดรวมของรายได้นั้นสูงถึงเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการทยอยระบายข้าวที่เคยอยู่ในโครงการรับจำนำ ซึ่งรวมถึงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบ
ทนายความให้เหตุผลว่า หากรัฐสามารถนำข้าวที่เคยระบายไปแล้วกลับมาขายและสร้างรายได้ภายหลัง ควรนำรายได้นั้นมาหักล้างความเสียหายทางแพ่งที่ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ และควรมีการพิจารณาใหม่ว่ารัฐได้รับประโยชน์กลับคืนเพียงพอหรือไม่
ราคาข้าวในแต่ละยุค กับคำถามว่ารัฐ “เสียหาย” หรือ “ได้คืน”
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่การเปรียบเทียบราคาขายข้าวในแต่ละช่วงเวลา โดยทนายระบุว่า ข้าวบางล็อตในยุครัฐบาลก่อนหน้าถูกจัดเกรดต่ำและขายได้ในราคากิโลกรัมละ 3-5 บาท ขณะที่ในยุคที่นายภูมิธรรม เวชชยชัย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลนายเศรษฐา กลับสามารถขายข้าวในราคาสูงถึง 18 บาทต่อกิโลกรัม
ข้อมูลนี้กำลังถูกใช้เพื่อสนับสนุนข้อเสนอว่า ข้าวที่เคยถูกมองว่าเป็นภาระต่อการคลังของรัฐ อาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่รัฐได้รับประโยชน์กลับคืนในภายหลัง ซึ่งหากศาลเห็นว่ามีน้ำหนักเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่การพิจารณาคดีใหม่ หรือการปรับลดภาระความรับผิดที่มีต่ออดีตนายกรัฐมนตรี
เส้นทางกลับไทยยังไม่ชัด คดีอาญายังมีผลบังคับ
แม้คดีแพ่งจะเปิดช่องให้ยื่นขอพิจารณาใหม่ แต่คดีอาญาที่ยิ่งลักษณ์ถูกพิพากษาจำคุก 5 ปีจากข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ยังมีผลอยู่
คำพิพากษาดังกล่าวมีการออกหมายจับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2560 และเป็นหมายจับที่ไม่มีอายุความ ซึ่งหมายความว่า หากยิ่งลักษณ์เดินทางกลับประเทศไทย จะต้องเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้โทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ทนายความยืนยันว่า คดีแพ่งในศาลปกครองไม่มีความเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวเรื่องการเดินทางกลับประเทศ และยังไม่มีการหารือกับอดีตนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ โดยขอให้สังคมแยกแยะระหว่างประเด็นทางกฎหมายกับการตีความในเชิงการเมือง
ศึกกฎหมายยังไม่จบ หากศาลรับคำร้องตั้งคดีใหม่
หากศาลปกครองรับคำร้องและตั้งคดีใหม่ อาจนำไปสู่การพิจารณาข้อเท็จจริงที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการจัดการข้าวหลังยุคโครงการรับจำนำ และเปิดโอกาสให้ฝ่ายจำเลยยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อหักล้างความเสียหายที่มีคำพิพากษาไปแล้ว
คดีนี้จึงยังไม่ถึงบทสรุปสุดท้าย เพราะแม้จะมีคำวินิจฉัยเด็ดขาดจากศาล แต่ช่องทางทางกฎหมายในการขอพิจารณาใหม่ยังมีอยู่ หากสามารถแสดงให้เห็นว่า รัฐไม่ได้เสียหายตามที่เคยถูกประเมินไว้ในช่วงต้นของคดี