2 ปี สงครามกาซา อนาคต ความหวัง สันติภาพ มีจริงหรือภาพลวงตา?

อนาคต ความหวัง สันติภาพ ยังมีอยู่จริงหรือเป็นแค่ภาพลวงตา? เมื่อเสียงระเบิดลูกแรกดังขึ้นในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสไม่ได้เป็นเพียงปฏิบัติการตอบโต้ระหว่างรัฐกับกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซาเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลาง และเป็นบททดสอบใหม่ของระเบียบโลกหลังสงครามยูเครน
ตลอด 730 วันที่ผ่านมา ฉนวนกาซายังคงมีเสียงระเบิดโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพผู้คนที่ต้องหลบหนีลี้ภัย แต่ทว่า อิสราเอลก็ยังไม่สามารถ “ยึดกาซาได้ 100%” ในขณะที่ฮามาสเองในวันนี้ ศักยภาพทางทหาร ระบบบัญชาการ กำลังคน ต่างก็ถดถอยลงไปอย่างชัดเจนหากเทียบกับก่อนเหตุวันที่ 7 ตุลาคม 2023
ขณะที่สถานการณ์ภายในอิสราเอลเองก็เต็มไปด้วยแรงเสียดทานทางการเมือง ความอ่อนล้าทางทหาร และภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออกในระดับยุทธศาสตร์ทั้งภายในและระหว่างประเทศ
สงครามที่ยืดเยื้อที่สุดของยุคสมัยใหม่
ผศ.ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระบุว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งในกาซานับเป็นสงครามที่ “ยืดเยื้อที่สุด” ในความทรงจำร่วมของอิสราเอลยุคใหม่ โดยเฉพาะในสายตาของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเผชิญการสู้รบเรื้อรังเช่นนี้มาก่อน ความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายอย่างเด็ดขาด ทำให้รัฐบาลเนทันยาฮูต้องเผชิญ “มรสุมทางการเมือง” ที่มาจากทั้งในและนอกประเทศ
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ต้องเดินอยู่บนเส้นด้ายระหว่างการ “เดินหน้าโจมตี” เพื่อตอบสนองฐานเสียงขวาจัด ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนคือ การไม่ยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ในทุกเงื่อนไข ไม่ว่าจะในเขตเวสต์แบงก์ กาซา หรือที่ราบสูงโกลาน กับความกดดันจากสาธารณชนภายในที่เรียกร้องต่อการให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือตัวประกันและยุติความสูญเสียในสงคราม
ขณะที่มุมมองด้านความมั่นคงและการทหาร อิสราเอลในศตวรรษที่ 21 ไม่เคยติดพันในการรบที่ยาวนานเช่นนี้มาก่อน กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (IDF) ต้องรับมือกับความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านร่างกายและสุขภาพจิตของทหาร แนวรบกระจายจากกาซาไปถึงเลบานอนตอนใต้ และถึงขั้นเปิดฉากปะทะกับอิหร่านโดยตรงในสงคราม 12 วัน
ส่วนค่าใช้จ่ายทางทหารก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบโจมตีข้ามแดน และการเสริมกำลังพล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสมรรถภาพโดยรวมของกองทัพอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ความชอบธรรมถดถอยในสายตาโลก
อีกหนึ่งแรงกดดันที่สำคัญคือ ความสูญเสียความชอบธรรมในเวทีโลก โดยเฉพาะเมื่อภาพของเด็กและพลเรือนกาซาเสียชีวิตปรากฏบนสื่อระดับโลกอย่างต่อเนื่อง กระแสการเคลื่อนไหวเพื่อปาเลสไตน์ขยายตัวจากรัฐสู่ภาคประชาสังคมในหลายประเทศ รวมถึงในสหรัฐฯ และยุโรป พันธมิตรสำคัญของอิสราเอลเอง
แม้จะยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติถาวรในเร็ววัน แต่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” เช่นนี้ ผศ.ดร.อาทิตย์ วิเคราะห์ว่า อิสราเอลจำเป็นต้อง “หยุดชั่วคราว” เพื่อให้ตัวเองได้ “หายใจหายคอ” ทั้งในมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคง การเมืองภายใน และการเจรจากับพันธมิตร
ฮามาสในสนามรบใหม่
แม้ในสนามรบ อิสราเอลจะเดินหน้าปฏิบัติการทหารอย่างเต็มกำลังในฉนวนกาซา แต่ฮามาสเองก็ไม่ได้ตอบโต้แบบเดิมเสียทีเดียว บทวิเคราะห์จากผศ.ดร.อาทิตย์สะท้อนว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฮามาสได้ “ปรับเกม” ทั้งในเชิงโครงสร้างและแนวคิด เปลี่ยนจากการต่อสู้ทางทหารเพียงลำพัง สู่การต่อสู้บน “สนามรบทางการเมือง” และ “เวทีโลก”
เดิมทีฮามาสมี 2 ปีกหลัก:
ปีกการทหาร ที่ใช้ระบบการจัดการแบบ Cell-based คือแยกกันทำงานแบบกระจายอำนาจ เพื่อลดความเสียหายหากถูกโจมตีจากศัตรู และสร้างความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว
ปีกการเมือง ที่ทำหน้าที่เหมือนพรรคการเมือง สร้างเครือข่ายในพื้นที่ และการเป็นตัวแทนบนโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ
ทั้งสองปีกนี้เคยทำงานคู่ขนานกัน แต่หลังการโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 บทบาทของฝ่ายการเมืองกลับกลายเป็น “ศูนย์กลาง” ที่ขับเคลื่อนทิศทางของกลุ่ม ผศ.ดร.อาทิตย์ วิเคราะห์ว่า ฮามาสใช้การโจมตีในปี 2023 เป็น “ระเบิดทางทหาร” เพื่อล่อให้อิสราเอลเปิดฉากถล่มตอบโต้ และเปิดช่องให้ฮามาสสามารถ “ย้ายสนามรบ” สู่เวทีการเมืองโลกได้ ในเวลาต่อมา ฮามาสจึงใช้ปีกการเมืองเป็นแนวหน้าในการเจรจาตัวประกัน รณรงค์ผ่านเวทีสหประชาชาติ (UN) และได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายประชาสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา กลุ่มนักเคลื่อนไหวในยุโรปและอเมริกาเหนือ
ก่อน 7 ตุลาคม 2023 มีการจัดตั้ง “แนวร่วมกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์” ซึ่งรวมถึง ฮามาส, Palestinian Islamic Jihad (PIJ), และกลุ่มย่อยอีก 6–7 กลุ่ม ที่แม้จะไม่ขึ้นตรงกับฮามาส แต่ทำงานร่วมกันภายใต้เป้าหมายเดียว
โครงสร้างนี้แม้จะถูกสลายบางส่วนจากการถล่มของอิสราเอลในกาซา แต่กลับกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้อิสราเอลต้องขยายวงปฏิบัติการไปถึง โดฮา ซึ่งเป็นฐานของฝ่ายการเมืองของฮามาส เพื่อทำลาย “สมรรถนะการเจรจา” ของกลุ่มด้วย สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ภายในเวลา 2 ปี ขบวนการสนับสนุนปาเลสไตน์ขยายตัวจากกลุ่มชาวมุสลิม สู่ประชาชนทั่วไปหลากหลายศาสนาและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในยุโรป
การทหารฮามาสถดถอยลงอย่างชัดเจน
กระนั้น ในห้วง 2 ปีของสงครามกาซานั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังคน ระบบบัญชาการ ศักยภาพฮามาสทั้งหมดในวันนี้ “ลดลงอย่างชัดเจน” จากการสูญเสียหนักตลอด 2 ปีของสงครามเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเหตุโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม 2023
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศักยภาพทางทหารของฮามาสถดถอยลง คือ การสูญเสียสายสนับสนุนจากอิหร่านและพันธมิตรในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในซีเรียเปลี่ยนจากรัฐบาลภายใต้บาชาร์ อัล-อัสซาด (ที่หนุนอิหร่าน) ไปสู่กลุ่มต่อต้านที่มีแนวคิดต่างออกไป อย่างกลุ่ม HTS ทำให้เส้นทางลำเลียงอาวุธผ่านซีเรีย-เลบานอนสู่กาซากลายเป็นเรื่องยาก อีกทั้งฐานวางกำลังของอิหร่านในอิรักและซีเรียก็ถูกโจมตีและสลายลงไปมาก ส่วนการเปิดฉากปะทะระหว่างอิสราเอล-อิหร่านโดยตรงครั้งแรกในปี 2024-2025 รวมถึงสหรัฐฯ ที่ร่วมปฏิบัติการด้วย ทำให้แรงกดดันเพิ่มขึ้นต่ออิหร่านในการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธ
แม้จะยังมีช่องทางการจัดหาอาวุธจาก “ตลาดมืด” หรือเครือข่ายอาวุธนอกระบบ เช่นจากรัสเซีย แต่เส้นทางหลักของการสนับสนุนยุทโธปกรณ์นั้น “แทบถูกตัดขาดไปแล้ว”
แม้ศักยภาพโดยรวมจะลดลง แต่อิสราเอลก็ยังไม่สามารถ “ยึดกาซาได้ 100%” เพราะฮามาสยังมีข้อได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์บางประการ เช่น ความชำนาญในการควบคุมภูมิประเทศในฉนวนกาซา ระบบอุโมงค์และโครงสร้างรับมือการบุกของกองทัพอิสราเอล และการเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับรบเชิงกองโจรในระยะยืดเยื้อ
บทบาทนานาชาติในสงครามกาซา ปีที่ 2
จากสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่ปะทุตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2023 จนยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 2 บทบาทของนานาประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ในระดับ “ท่าที” แต่รวมถึง “โครงสร้างอำนาจระหว่างประเทศ” ที่กำลังก่อตัวขึ้นใหม่อย่างเงียบ ๆ
สิ่งแรกที่ผศ.ดร.อาทิตย์ ชี้ให้เห็นคือ “ความล้มเหลวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)” ที่ไม่สามารถออกมาตรการบังคับใช้ได้จริง แม้จะเคยมีมติราว 14–15 ฉบับก่อนปี 2023 ที่ประกาศว่า การตั้งนิคมชาวยิวในเวสต์แบงก์คือ “การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” หรือแม้แต่การที่อิสราเอลเรียกดินแดนพิพาทว่า “Occupied Territory” อย่างเป็นทางการ และการขอให้อิสราเอลถอนกำลังทันที แต่อิสราเอลไม่เคยปฏิบัติตาม และ UN ก็ไม่สามารถกดดันได้
สหรัฐฯ ไม่ใช่ “พี่ใหญ่” ในโลก 3 ขั้วอีกต่อไป
ภาวะ “ไร้พี่ใหญ่” คือข้อเท็จจริงใหม่ในระบบโลกวันนี้ เพราะโลกในวันนี้ไม่ใช่โลกที่สหรัฐฯ เป็นขั้วอำนาจเดี่ยวอีกต่อไป วันนี้โลกมีอย่างน้อย 3 ขั้วในเวทีโลก คือ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย
แม้สหรัฐฯ จะยังสนับสนุนอิสราเอลอย่างเปิดเผย แต่แรงเสียดทานภายในประเทศของตัวเองและการปรากฏตัวของขั้วอำนาจอื่นทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถชี้นำทุกประเทศได้อย่างในอดีต ขณะที่จีน แม้จะไม่แสดงบทบาททางการทูตชัดเจน แต่มีผลประโยชน์ในตะวันออกกลางผ่าน Belt and Road Initiative ส่วนรัสเซียเข้ามามีบทบาททางทหารและการเมืองในตะวันออกกลางตั้งแต่สงครามซีเรีย
อีกด้านหนึ่งคือลุ่มประเทศยุโรปที่เคยระวังตัว เช่น ฝรั่งเศส เบลเยียม สเปน อิตาลี ฯลฯ วันนี้จำเป็นต้อง “แสดงท่าที” เพื่อรองรับแรงกดดันจากภาคประชาชนในประเทศของตน ไม่ว่าจะเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย อนาธิปไตยใดๆ แรงเสียดทานจากมวลชนคือสิ่งที่รัฐบาลไม่สามารถเพิกเฉยได้ ดังนั้นจึงเริ่มเห็นการทยอยออกมารับรองรัฐปาเลสไตน์ แต่ตั้งเงื่อนไขว่า “ไม่รวมการรับรองฮามาส” หรือ “ต้องปล่อยตัวประกันก่อน” และการสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แม้สุดท้ายอาจ “ถอย” กลางทาง การเคลื่อนไหวเหล่านี้แม้จะมีลักษณะเป็น “Soft Power ทางภาพลักษณ์” แต่ก็สะท้อนว่ารัฐเหล่านี้ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป
กลุ่มซีกโลกใต้กำลังก่อตัวใหม่
ขณะเดียวกัน โลกกำลังเห็นการรวมกลุ่มของประเทศในซีกโลกใต้ที่ “ไม่ต้องการจะพึ่งพาสหรัฐฯ อีกต่อไป” และพยายามตั้งมาตรฐานของตัวเอง เช่น กลุ่ม BRICS ที่เชื่อมโยงกับองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) และกำลังหารือแนวคิด “ความมั่นคงร่วม” แบบ NATO หรือ The Hague Group ที่รวมประเทศอย่างบราซิล แอฟริกาใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย โบลิเวีย เรียกร้องให้มีการฟื้นฟูกฎหมายระหว่างประเทศหลังวิกฤตกาซา
มองไปข้างหน้า “อนาคต ความหวัง สันติภาพ” อยู่ตรงไหน?
การเจรจาสันติภาพล่าสุดระหว่างอิสราเอลและฮามาสภายใต้การนำของอียิปต์ที่กรุงไคโร กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง หลังผ่านความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้มีสัญญาณบวกบางประการ เช่น ฮามาสแสดงท่าทีตอบรับบางส่วนของข้อเสนอ 20 ข้อที่ผลักดันโดยสหรัฐฯ ผศ.ดร.อาทิตย์ มองว่าหากมีข้อตกลงเกิดขึ้น มันจะเป็นเพียง ‘ข้อตกลงชั่วคราว’ ไม่ใช่ข้อตกลงถาวร
อีกทั้งภายใต้ข้อตกลงล่าสุดนั้น อย่างในแผนสันติภาพ 20 ข้อของทรัมป์ ผศ.ดร.อาทิตย์ ชี้ว่าการเจรจารอบนี้ต่างจากที่ผ่านมา เพราะมี “มิติทางเศรษฐกิจ” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบทบาทของลูกเขยทรัมป์ในทีมเจรจาอเมริกันที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นั่นเพราะกาซาคือเมืองท่าที่ทรงศักยภาพหากทำให้สงบลงได้ จะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแทนเลบานอนหรือซีเรียตอนเหนือ ข้อเสนอ 20 ข้อที่สหรัฐฯ ผลักดัน จึงมีองค์ประกอบ “การฟื้นฟู-จ้างงาน-การลงทุน” พ่วงเข้ามาด้วย เพื่อให้อเมริกาสามารถถือครองพื้นที่ผ่านทุน แม้ไม่ใช่ผ่านกองทัพ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเกิด “ข้อตกลงหยุดยิง” ได้จริงในระยะสั้น แต่อุปสรรคที่ใหญ่กว่ายังคงรออยู่ เช่น วันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า “รัฐบาลปาเลสไตน์ที่แท้จริง” คือใคร อยู่ตรงไหน ระหว่าง PA ในเวสต์แบงก์ กับฮามาสในกาซา และหนึ่งในข้อเสนอที่ระบุว่า “อิสราเอลจะถอนกำลังจากเวสต์แบงก์และกาซ่า เมื่อปาเลสไตน์มีความพร้อม” แต่คำถามคือ พร้อมเรื่องอะไร พร้อมเมื่อไหร่ และใครเป็นคนตัดสินว่า ‘พร้อม’ แล้ว
ส่วนผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์อีกหลายล้านคน จะจัดการอย่างไรกับสิทธิในการ “กลับบ้าน” ตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยที่บ้านของพวกเขาคือดินแดนภายในอิสราเอลปัจจุบัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
