รีเซต

ถอดรหัส ทำไมต้อง "คนละครึ่ง" กระตุ้นใช้จ่ายแสนล้าน ฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มจีดีพี ใน 4 เดือน

ถอดรหัส ทำไมต้อง "คนละครึ่ง" กระตุ้นใช้จ่ายแสนล้าน ฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มจีดีพี ใน 4 เดือน
TNN ช่อง16
22 กันยายน 2568 ( 14:02 )
5

ถอดรหัส ทำไมต้อง "คนละครึ่ง" 

กระตุ้นใช้จ่ายแสนล้าน ฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มจีดีพี ใน 4 เดือน 


ทำไมรัฐบาล "อนุทิน" ต้องเอา "คนละครึ่ง" กลับมา ?


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ย้ำว่ารัฐบาลชุดนี้จะนำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาปัดฝุ่น ดำเนินการอีกครั้ง พร้อมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การจ่ายในระบบ 60:40 สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ส่วนคนทั่วไป 50:50 เหมือนเดิม ซึ่งทางกระทรวงคลังได้ออกมาขานรับและยืนยันว่าระบบพร้อมใช้และมีงบประมาณเพียงพอ คาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการได้เร็วที่สุดภายในเดือนตุลาคม 2568 


"คนละครึ่ง" 2025 ยุครัฐบาลอนุทิน นอกจากจะปรับเงื่อนไขที่คาดว่าจะลงลึกได้ถึงแก่นกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นแล้ว ที่สำคัญ คือ รัฐมนตรีคนนอก แต่เป็นคนในเนื้อแท้ของกระทรวงคลัง อย่าง “นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ที่มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  ที่จะต้องดูแลและผลักดันนโยบายคนละครึ่ง ภายใต้กรอบของวินัยการคลัง และ ความยั่งยืนของเศรษฐกิจ จากงบประมาณกลางปี 2569 จำนวน 25,000 ล้านบาท และมีโจทย์ 4 เดือนที่ต้องนับถอยหลังก่อนเลือกตั้งใหม่  

โครงการ "คนละครึ่ง" 2025 เปรียบเสมือน "ยาแรง" เป็นความหวังสำหรับทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในทุกระดับ เพราะเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับว่าสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นมาในช่วงวิกฤตโควิด-19 ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2563 เมื่อประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากโรคระบาดอย่างฉับพลัน  ธุรกิจหยุดชะงัก ประชาชนสูญเสียรายได้ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจึงเป็นมาตรการที่จำเป็นและต้องเห็นผลทันทีในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อน


ภายใต้โจทย์ดังกล่าาว  โครงการคนละครึ่งก็สอบผ่าน ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม อ้างอิงจากข้อมูลของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการทำโครงการทั้งหมด 5 ระยะ หรือ 5 เฟส มีเม็ดเงินมูลค่ารวมกว่า 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากการใช้จ่ายของประชาชน และเป็นเงินสมทบจากรัฐบาล เป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และช่วยผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่าย 

"คนละครึ่ง" พยุงกำลังซื้อ หนุนธุรกิจรายย่อย SMEs


สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าโครงการคนละครึ่งมีบทบาทสำคัญในการพยุงกำลังซื้อของประชาชน ทำให้การบริโภคภาคเอกชนไม่ทรุดตัวลงรุนแรง และช่วยลดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในปี 2563–2564 ให้หดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 


ขณะที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยผลการวิเคราะห์มาตรการการคลังของ โครงการคนละครึ่ง ในระยะที่ 1-3 (1 ตุลาคม 2563–31 ธันวาคม 2564) พบว่าก่อให้เกิดยอดการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ 3.3 แสนล้านบาท จากส่วนที่รัฐบาลสนับสนุนประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นขนาดประมาณ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Nominal GDP) ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าคนละครึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของประเทศ โดยสาขาการผลิตที่ได้รับประโยชน์โดยตรงและส่งผลต่อเนื่อง ได้แก่ การค้าปลีกและค้าส่ง ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ภาคการธนาคารและบริการ สาธารณูปโภคและภาคการเกษตร


นอกจากนี้ยังมีการดัชนียืนยันว่า "คนละครึ่ง" ช่วยให้เกิดการกระจายเม็ดเงินและประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอย่างดีในแต่ละจังหวัด หากพิจารณาการกระจุกตัวของมูลค่าทางเศรษฐกิจ จะพบว่าโดยปกติแล้วมูลค่าผลิตภัณฑ์ของ 4 จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมีสัดส่วนรวมกันถึง 51% ของ GDP ทั้งประเทศ แต่สำหรับรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ต้องใช้จังหวัดที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุดถึง 35 จังหวัดรวมกัน จึงจะมีมูลค่าคิดเป็น 51%


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองในเชิงโครงสร้างว่าโครงการคนละครึ่งไม่ได้เพียงแต่กระตุ้นกำลังซื้อ แต่ยังช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงไปถึงผู้ค้ารายย่อยและครัวเรือนฐานรากได้จริง ซึ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าและกระจายผลประโยชน์ได้กว้างขวางกว่าโครงการอุดหนุนรูปแบบอื่น


สำหรับกระแสตอบรับจากประชาชนก็เป็นไปในทิศทางที่ดี จากผลสำรวจความพึงพอใจจากประชาชนในหลายสำนัก ที่ระบุว่าประชาชนพอใจกับโครงการคนละครึ่ง ในระดับสูงมาก เพราะเป็นนโยบายที่จับต้องได้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม


ในด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ให้ความเห็นว่าโครงการนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายจริงที่สูงกว่ามูลค่าเงินอุดหนุนของภาครัฐ เพราะประชาชนมีแรงจูงใจที่จะใช้เงินของตัวเองร่วมด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้มากกว่าที่รัฐลงทุนไป และยังช่วยรักษาระดับการบริโภคไม่ให้ตกต่ำจนกระทบเศรษฐกิจโดยรวม



"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" หนุน "คนละครึ่ง" ปรับเงื่อนไขดึงคนเข้าระบบภาษี 


ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยนายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ก็เป็นนโยบายที่ดี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่มีระยะเวลาในการทำงานสั้น ดังนั้นนโยบายที่อยากเห็นคือนโยบายที่เริ่มทำได้รวดเร็ว เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่เป็นโครงการที่เคยทำมาแล้ว


ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท หากนำมาใช้กับโครงการคนละครึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน ยังต้องดูว่ารัฐบาลจะออกแบบนโยบายอย่างไร เช่น อาจจะไม่ใช่ 50:50 แต่ครั้งที่แล้วก็สร้างผลต่อเศรษฐกิจได้ประมาณ 1 เท่า อย่างไรก็ตาม มองว่านโยบายคนละครึ่งควรให้สิทธิแก่ผู้ที่เสียภาษีหรือยื่นภาษี ขณะที่ร้านค้าต้องเป็นร้านที่จ่ายภาษีหรืออยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม


นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายคนละครึ่งที่รัฐบาลจะนำกลับมาใช้มีงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ค่อนข้างจำกัดที่ 25,000 ล้านบาท ดังนั้นหากต้องการทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นอาจทำได้โดยปรับรูปแบบ เช่น  ไม่ออกแบบการจ่ายเงินเป็น 50:50 แต่แบ่งการจ่ายเงินเป็น 60:40 หรือ 70:30 มีการให้คูปองกับผู้ที่มีรายได้สูง เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่เคยทำในอดีต รวมไปถึงการนำฐานข้อมูลที่ได้จากโครงการ เช่น ประชาชนและร้านค้าที่ร่วมโครงการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อออกแบบนโยบายในอนาคตให้ตรงจุดได้มากยิ่งขึ้น



ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง