ทรัมป์ถึงจุดต่ำสุด ? แค่ 100 วันแรก คะแนนนิยมดิ่ง เศรษฐกิจติดลบ

ผิดที่ใคร ผิดที่ไบเดน
นี่เป็นคำการโยนความผิดไปยัง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐคนก่อน
จากกล่าวของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากพบว่าจีดีพี หรือ
เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสแรกของปีนี้ เจอกับตัวเลขติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
โดยโยนให้ความผิดเป็นของรัฐบาลชุดก่อน
แต่ประชาชนอเมริกันอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะผลสำรวจพบว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ตกต่ำที่สุด
จากผู้นำทั้งหมดที่เคยมีในรอบ 80 ปี
เศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นอย่างไรภายใต้เงาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การกลับมาบริหารประเทศสมัยที่ 2 หรือยุคทรัมป์ 2.0
วันนี้ทรัมป์ทำงานครบ 100 วัน ทุกผลงาน ทุกการกระทำโลกรับรู้ แต่ในทางบวกหรือลบค่อยว่ากัน
โดยเฉพาะการทำงานด้านเศรษฐกิจ ที่ทรัมป์หวังจะให้อเมริกากลับเข้าสู่ยุคทอง
ให้คนอเมริกันได้มีงานทำ มีกินมีใช้ ข้าวของราคาถูกลง แต่ทุกอย่างที่พูดมาเวลานี้สวนทางทั้งสิ้น
ล่าสุดตัวเลขจีดีพีสหรัฐ หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบครั้งแรกในรอบสามปี
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี (GDP)
ซึ่งวัดมูลค่าสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ หดตัวลง 0.3% ในไตรมาสแรก
หรือนับตั้งแต่มกราคมถึงมีนาคมที่ผ่าน ช่วงต้นปีที่ทุกชาติทั่วโลกเร่งส่งออกหนีตายภาษีทรัมป์
ตัวเลขดังกล่าวยังนับว่าชะลอลงอย่างมากจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว
ที่ขยายตัว 2.4% และแย่กว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะขยายตัว 0.8%
เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ได้เดินหน้ามาตรการภาษีตอบโต้ ขึ้นภาษีนำเข้าไปยังคู่ค้า
ซึ่งสร้างความปั่นป่วนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ที่สำคัญ คือ กลายเป็นสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐ กับ จีน
เกิดความตึงเครียดทางการค้ากับจีนอย่างหนัก และสุดท้ายแล้วผลทั้งหมดจะกลับวกมาที่คนอเมริกัน
และทำให้ตอนนี้ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันด้วยความปั่นปวนกังวลใจอย่างหนัก
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่า ภาษีทรัมป์ สร้างผลทางลบต่อเศรษฐกิจ
ทรัมป์กำลังพยายามเปลี่ยนระบบการค้าโลก จนทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น
ไปกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯให้พุ่งตาม
และอาจจะไปจุดชนวนให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
เศรษฐกิจแย่ เพราะคนก่อนทำไว้ไม่ดี
ทรัมป์ โทษว่าจีดีพีที่ติดลบ มาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำคนก่อน
ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับนโยบายภาษีของเขา และให้อดทนรออนาคตอันรุ่งเรือง
หลังจากมีรายงานเศรษฐกิจติดลบ
ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาปฏิเสธทันทีว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอไม่ได้มีต้นเหตุจากตัวเขา
ทรัมป์ได้โพสต์บน Truth Social ว่า สหรัฐอเมริกาหรือประเทศของเราจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่เราต้องกำจัด ภาระที่ตกค้างจากไบเดน ออกไปเสียก่อน ซึ่งจะใช้เวลาสักพัก
และไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับภาษีเลย เป็นเพียงตัวเลขแย่ๆ ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนทิ้งไว้ให้
แต่เมื่อช่วงที่รุ่งเรื่องเริ่มขึ้น มันจะไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ ขอให้อดทนไว้
หลังจากนั้น ทรัมป์ก็ได้ย้ำอีกครั้งว่าเขาไม่ผิด ในระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยบอกว่าจีดีพีไตรมาสที่หดตัวเป็นผลงานของไบเดนไม่ใช่ของทรัมป์
เพราะทรัมป์เพิ่งรับตำแหน่งในเดือนมกราคม แต่นี่คือตัวเลขรายไตรมาส
ซึ่งทรัมป์ได้คัดค้านทุกอย่างที่ไบเดนทำเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างหนัก
เพราะมันกำลังทำลายสหรัฐอเมริกา และยังได้ย้ำว่าเขารับไม้ต่อเมื่อวันที่ 20 มกราคม
ตอนนั้นภาษีทรัมป์ยังไม่มีผลอะไรเลย
อย่างไรก็ตามส่องจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์พบว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ที่หดตัวในช่วงต้นปีมีสาเหตุหลักจากการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น
เพราะทั่วโลกต่างเร่งส่งออกก่อนผลกระทบจากภาษีทรัมป์
และยังเกิดปรากฎการณ์ที่ธุรกิจและชาวอเมริกันเร่งซื้อสินค้าก่อนที่ภาษีของทรัมป์จะมีผล
และยังมีแผนการลดการใช้จ่ายภาครัฐอีกด้วย
การนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่ติดลบปลายปี -1.9% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
กลายเป็นบวกพุ่ง 41.3% ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ขณะที่การส่งออกขยายตัว 1.8%
การนำเข้าที่สูงกว่าการส่งออก จะส่งผลลบต่อ GDP โดยเฉพาะในไตรมาสแรกนี้นั่นเอง
กลายเป็นปัจจัยฉุดการเติบโตมากที่สุด ที่สำคัญส่วนต่างระหว่างการนำเข้าและส่งออกที่หักออกจาก GDP นั้น
ถือเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 1947
ทรัมป์ ทำงานครบ 100 วันแรกแล้ว
และได้ปราศรัยประกาศยกย่องผลงาน 100 วันของตนเองว่า
เป็น "ชัยชนะทางเศรษฐกิจ"
สวนทางกับโพลสำรวจที่พบว่าประชาชนชาวอเมริกันไม่รัก ไม่ชื่นชอบผลงาน
และเป็นคะแนนที่ตกต่ำที่สุดในบรรดาผู้นำที่เคยมีมาในรอบ 80 ปี
30 เมษายนที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 100 วันแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง
และมีผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่พอใจผลงานของเขา
ทั้งไม่เห็นด้วยกับหลายนโยบาย ไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจของประเทศ
และกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
การสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นในระหว่างวันที่ 18-22 เมษายน 2568
โดยเอบีซี นิวส์ (ABC News) เดอะ วอชิงตัน โพสต์ (The Washington Post) และอิปซอสส์ (Ipsos)
พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกินครึ่ง คือ 55% ไม่ชอบผลงานของทรัมป์
ซึ่งถือเป็นสถิติที่แย่ที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรอบแปดทศวรรษที่ผ่านมา
ส่วนคนที่เห็นชอบผลงานของทรัมป์มีเพียงแค่ 39% ซึ่งลดลง 6% จากเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ผลสำรวจยังบ่งชี้ด้วยว่า นโยบายหลัก ๆ ของทรัมป์ไม่ถูกใจชาวอเมริกันส่วนใหญ่
เช่น ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของทรัมป์ในการเก็บภาษีนำเข้า
และเชื่อว่านโยบายภาษีของเขาจะทำให้เงินเฟ้อรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามมากว่า 70 % เชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ย่ำแย่
และกังวลว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ที่น่าสนใจอีกประเด็น คือ ผลสำรวจพบว่าคนอเมริกันรักทรัมป์น้อยลง แต่กลับมองจีนในแง่ดีมากขึ้น
ทั้งๆที่ตอนนี้อยู่ในบรรยากาศของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ผลสำรวจล่าสุดโดยศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ในสหรัฐฯ ระบุว่า
ทัศนคติของชาวอเมริกันที่มีต่อจีนกำลังเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าทวิภาคีที่ยังคงดำเนินอยู่
ผลสำรวจที่เผยแพร่เมื่อ18 เมษายน 2568 พบว่า
นับเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่สัดส่วนของชาวอเมริกันที่มองจีนในแง่ลบลดลงจากปีก่อน
จาก 81 % เหลือที่ 77%
ทั้งนี้แม้ผู้ตอบแบบสอบถามจะยังมองว่าจีนเป็น “ศัตรู” ของสหรัฐฯ
และถูกมองว่าเป็นประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ มากที่สุด
แต่ก็ลดลงอย่างมากจากปีก่อน
นักวิจัยจากศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองในแง่ลบต่อจีน
แต่อย่างไรก็ตาม ทัศนคติต่อจีนมีความเป็นมิตรขึ้นในระดับหนึ่ง
โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาล
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเผชิญหน้ากับจีนอย่างเข้มข้นในเรื่องการค้า
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเพิ่มมาตรการตอบโต้กันไปมา
ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
ขณะที่ทางการจีนยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมเจรจา เว้นแต่สหรัฐฯ จะปฏิบัติต่อจีนด้วยความเคารพ