รีเซต

"ภาษีทรัมป์" คือ อะไร ? ทำไมทุกชาติต้องยอม

"ภาษีทรัมป์" คือ อะไร ? ทำไมทุกชาติต้องยอม
TNN ช่อง16
18 เมษายน 2568 ( 08:00 )
14

"ภาษีทรัมป์"  เป็นคำเรียกสั้นๆ ที่หมายรวมถึง มาตรการทางภาษีศุลกากร หรือ Tariffs 

ที่ออกมาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน 

เป็นการเรียกเก็บภาษีสินค้าต่างๆ ที่มาจากต่างประเทศเมื่อนำเข้าสู่สหรัฐฯ 


ปกติโดยทั่วไปแล้ว ภาษีที่ว่านี้ จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ 

ตัวอย่างเช่น สินค้า  10 ดอลลาร์ หากถูกเรียกเก็บภาษีที่ 25% ก็จะต้องจ่ายค่านำเข้า 2.50 ดอลลาร์ 

บริษัทที่นำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศจะต้องชำระภาษีส่วนนี้ให้กับรัฐบาล

และจะถูกเรียกเก็บเมื่อสินค้านำเข้าประเทศผ่านศุลกากรของสหรัฐฯ


ซึ่งบริษัทที่ขายของเหล่านี้ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนก็ตาม

ก็สามารถเลือกได้ว่าจะแบกต้นทุนภาษีไว้เอง หรือโยนให้กับผู้บริโภคหรือคนซื้อได้เช่นกัน 

แต่หมายความว่าสินค้านั้นจะแพงขึ้น 

เช่น เวลาที่เราซื้อของกินขนมนำเข้าต่างๆ ตามห้าง เรามักจะเห็นว่าราคามันแพง 

แต่ความจริงแล้วบางทีของชิ้นนั้นอาจจะถูกกว่าที่เราคิด แต่มันไปแพงเพราะบวกภาษีนำเข้านั่นเอง 


โดยก่อนหน้านี้ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ามานั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ

สหรัฐอเมริกามีการเก็บภาษีศุลกากร หรือ Tariffs ไปยังประเทศต่างๆ  เฉลี่ยเพียงแค่ 2.5  % เท่านั้น

แต่หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  

ก็ได้เดินหน้าขึ้นภาษีศุลกากรที่ว่านี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึง ล่าสุด 104 % กับประเทศจีน และ 36  % กับประเทศไทย


ทั้งหมดนี้มาจากความตั้งใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะหาเงินเข้าสู่ประเทศ

เพราะแม้สหรัฐจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ในแง่ของขนาดทางเศรษฐกิจ 

แต่ก็มีปัญหาด้านการเงิน เพราะขาดดุลการค้าอย่างหนัก 

รวมถึงล่าสุด มกราคมที่ผ่านก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง

บลูกเบิร์ก รายงานว่า สหรัฐขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง 1.314 แสนล้านดอลลาร์ 

โดยเฉพาะจีนเป็นประเทศอันดับหนึ่งที่เกินดุลสหรัฐมากที่สุด ตามด้วย เม็กซิโก และเวียดนาม


อย่างไรก็ตามมองย้อนกลับไปสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ “ขาดดุลการค้า” สูงที่สุดในโลกมายาวนาน

เนื่องจากการผลิตสินค้าภายในประเทศของสหรัฐมีต้นทุนสูง จึงใช้การนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ 

และสหรัฐได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่ประเทศกำลังพัฒนา 

ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีหลายประเทศที่ส่งสินค้าเข้าไปขายสหรัฐได้โดยไม่เสียภาษี หรือเสียในอัตราพิเศษ


แต่ไม่ใช่อีกต่อไป ในยุคของทรัมป์ 2.0 

ซึ่งทรัมป์หาเสียงเอาไว้ตั้งแต่ตอนเลือกตั้ง บอกว่า 

ว่าจะทำให้อเมริกากลับสู่ยุคทอง กลับมาเป็นชาติที่ร่ำรวยอีกครั้งให้ได้ 

ก็ทำให้เกิดการจ้างงาน ให้คนอเมริกันมีกิน มีใช้

รวมไปถึงการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ามหาศาลของรัฐบาล 




ทันทีหลังที่เข้ารับตำแหน่ง วันที่ 20 มกราคม 2568 

ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ประกาศหลัก  " America First Trade Policy " ซึ่งมีหลักการสำคัญถึง 10 ข้อ

แต่หนึ่งในนั้น คือ การใช้นโยบายการค้าเชิงรุก ด้วยการ ปฏิรูประบบการค้าและการเก็บรายได้ 

โดยเฉพาะการภาษีศุลกากร มาเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้ประชาชน 

และหลังจากนั้น มหากาพย์ "ภาษีทรัมป์"ก็ถือกำเนิดขึ้น  

มีทั้งการประกาศขึ้นภาษี แล้วก็เลื่อน รวมถึงยกเลิก แทบจะรายวัน 

เพราะทรัมป์ชัดเจนว่าภาษีคือการขู่ จึงเปิดประตู เปิดโอกาสให้ทุกประเทศเข้ามาเจรจาต่อรอง 

แต่หนึ่งเดียวที่หาญสู้ และตอบโต้ขึ้นภาษีกลับทุกครั้ง ก็คือ จีน 


การขึ้นภาษีสำคัญๆ และเป็นข่าวดังๆ เช่น 

วันแรกที่รับตำแหน่ง 20 มกราคม 2568

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศทันทีว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% 

อ้างว่าเพื่อนบ้านสองประเทศนี้คือต้นเหตุของยาเสพติดเฟนทานิลและผู้อพยพที่ไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ

จากนั้นก็มีการเจรจาต่อรองและเลื่อนการขึ้นภาษีไปมาหลายครั้ง 


1 กุมภาพันธ์ 2568

ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% 

อ้างเพื่อควบคุมคนเข้าเมือง สกัดการค้ายาเสพติด และหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ

จากนั้นจีนตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15%

และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% 


4 มีนาคม 2568

ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสองเท่าจากอัตราเดิม 10% เพิ่มเป็น 20% 

ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุด 15% 

พร้อมทั้งควบคุมการส่งออกสินค้าไปยังบริษัทสหรัฐฯ หลายสิบแห่ง 


12 มีนาคม 2568  ขึ้นภาษี "เหล็กและอลูมิเนียม"  25 % 

พร้อมทั้งยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศ ข้อตกลงตามโควตา 

อ้างเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบปัญหา 


2 เมษายน 2568  เก็บภาษีเพิ่ม 25 % กับประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา 


3 เมษายน 2568 ขึ้นภาษีสินค้ารถยนต์ จากทุกประเทศ 25 %  


แต่ที่ใหญ่ที่สุด ที่ช็อกโลกและคนไทย ก็คือ การขึ้นภาษี

Reciprocal Tariffs ที่หลายคนเรียกว่าภาษีตอบโต้ 

เพราะทรัมป์เอามาใช้เพื่อตอบโต้ทุกประเทศที่ขาดดุลการค้าด้วย 

โดยเฉพาะจีน ที่ถูกรีดภาษีมหาโหด 

จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ ภาษีทางการค้าที่สูงที่สุดในรอบ 100 ปี

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ทรัมป์ต้องการสร้างระเบียบการค้าโลกใหม่

การขึ้นภาษีศุลกากร หรือ Tariffs ครั้งใหญ่นี้ มี 2 ตัวด้วยกัน 

คือ Baseline Tariffs ที่ขึ้นภาษีนำเข้าทั่วไปทุกรายการมายังสหรัฐ 10  % เริ่มตั้งแต่ 5  เมษายน 2568 

แต่ตัวที่เจ็บที่สุด คือ ภาษีศุลกากรแบบ "ต่างตอบแทน" หรือ Reciprocal Tariffs 

ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568  

ที่ทรัมป์ งัดรายชื่อออกมากางให้โลกรู้ ว่าสหรัฐเสียเปรียบทางการค้ามากน้อยแค่ไหนกี่เปอร์เซ็นต์ 

และขอโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีตั้งแต่ 10 ไปถึง 50  %  ซึ่งเป็นจุดที่ไทยโดนไป 36  % 

มากเป็นลำดับที่ 5 ของอาเซียน โดยสูงสุดคือ กัมพูชา 49  % 

และในวันที่ประกาศรายชื่อในวันที่  2 เมษายนนั้น ตอนแรกจีนถูกขึ้นภาษีที่ 34  %

แต่พอทางการจีนตอบโต้กลับ ด้วยการขึ้นภาษีเท่ากันที่ 34  %

ประธานาธิบดีทรัมป์จึงออกมาขู่ให้จีนยกเลิกการตอบโต้ดังกล่าว มิเช่นนั้นจะขึ้นภาษีอีก 50  % 

และแน่นอนว่าจีนไม่ยอม พร้อมประกาศว่าจะขอสู้อย่างถึงที่สุด พร้อมประณามว่าสหรัฐกำลังทำลายระบบการค้าโลก 

ทำให้ทรัมป์กดปุ่มขึ้นภาษีเพิ่มอีกทันที หมายความรวบยอด จีนโดนภาษีไปจุกๆ 104  % นั้นเอง 


นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังได้ขึ้นภาษีพัสดุขนาดเล็กที่สู่สหรัฐผ่านทางไปรษณีย์อีก 3 เท่า

หรือขึ้นไปเป็น 90  %  ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

เพื่อสกัดกั้นสินค้าราคาถูกจากจีนที่เคยทะลักเข้ามา จาก Shein และ Temu

 

ส่วนทางการจีนเองก็ไม่ยอมแพ้ อย่างที่ประกาศเอาไว้ ล่าสุดก็มีประกาศแล้วว่าจะเพิ่มภาษีอีก 84% อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน



หลังจากเดินหน้าขึ้นภาษี ทรัมป์ก็ออกมาชื่นชมผลงานของตัวเอง

โดยอ้างว่าทำรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน 

และบอกอีกว่า นโยบายภาษีของเค้าจะเป็นตำนานในทางที่ดี 

สวนทางกับความคิดความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกที่หวั่นว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกนั้นพังไม่เป็นชิ้นดี


*ข้อมูลล่าสุด ณ  วันที่ 17 เมษายน 2568 

ทางการสหรัฐยืนยันว่าจะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าต่อจีนสูงถึง 245 % ในสินค้าบางรายการ 

ขณะที่จีนออกมาระบุว่า การกระทำดังกล่าวไม่มีความสมเหตุสมผล และสหรัฐฯ กำลังใช้ภาษีรังแกผู้อื่น 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง