อังกฤษเตือนรับมือโลกเดือด แนะสร้างบ้าน ปรับปรุงเมืองให้ทนร้อน ก่อนภัยธรรมชาติถล่มทั่วประเทศ

คณะกรรมาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร (Climate Change Committee – CCC) ออกโรงเตือนรัฐบาลอังกฤษให้เร่งเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะโลกร้อนที่อาจสูงเกินระดับความปลอดภัยที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้ หลังพบว่าแผนการป้องกันภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้วยังไม่เพียงพอ
รายงานระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) สหราชอาณาจักรจะเผชิญกับ คลื่นความร้อนอย่างน้อย 4 ปีจากทุก ๆ 5 ปี และช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะแห้งแล้งจะ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขณะที่จำนวนวันที่มีความเสี่ยงเกิดไฟป่ารุนแรงในเดือนกรกฎาคมจะ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ส่วนเหตุการณ์น้ำท่วมจะเกิดถี่ขึ้นตลอดทั้งปี โดยบางพื้นที่อาจมี ปริมาณน้ำหลากสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 40%
กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมเตือนว่า หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง สหราชอาณาจักรจะ “เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 25 ปี”
คณะกรรมาธิการเสนอว่า อาคารและโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันต้องได้รับการปรับปรุงให้ทนต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างน้อย 2°C ภายในปี 2593 ซึ่งสูงกว่าขีดจำกัด 1.5°C ที่นานาชาติหวังจะคงไว้ ส่วนอาคารใหม่ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ควรถูกออกแบบให้สามารถรับมือกับ อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 4°C จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นระดับที่โลกจะเผชิญหายนะทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
“จูเลีย คิง” สมาชิกสภาขุนนางและประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการปรับตัวต่อผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า “ที่ผ่านมา การปรับตัวต่อวิกฤตภูมิอากาศได้รับงบประมาณและความสำคัญไม่เพียงพอ การไม่เร่งดำเนินการจะทำให้สหราชอาณาจักรเสี่ยงต่อผลกระทบในอนาคต เพราะตอนนี้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้เกิดขึ้นไปแล้วส่วนหนึ่ง”
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการสร้างบ้านใหม่กว่า 1.5 ล้านหลังของรัฐบาลต้องคำนึงถึงความทนทานต่อความร้อนจัด พร้อมเตือนว่าผลกระทบจากโลกร้อนกำลังส่งผลต่อระบบสาธารณสุข (NHS) โรงเรียน การคมนาคม และโครงข่ายพลังงานอยู่แล้ว
แม้คณะกรรมาธิการยังไม่ได้ประเมินต้นทุนทั้งหมดในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้รับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น 2–4°C แต่คิงกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายเหล่านี้น่าจะไม่สูงมาก และจะต่ำกว่าความเสียหายหากไม่ลงมือทำ”
ศาสตราจารย์ มาร์ติน จัคส์ จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด อธิบายว่า ความต่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่ 1.5°C กับ 2°C มีผลกระทบมหาศาลกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ เพราะเมื่ออุณหภูมิแตะ 2°C “จุดเปลี่ยน” ของระบบโลก (tipping points) หลายจุดอาจถูกกระตุ้น เช่น การละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและกระทบต่อระบบภูมิอากาศทั่วโลก
ดร. ดักลาส พาร์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของกรีนพีซ สหราชอาณาจักร กล่าวว่า “รัฐบาลควรตระหนักได้แล้วว่า ความเสี่ยงของคลื่นความร้อน ภัยแล้ง และไฟป่าที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว จะทำให้ชีวิตผู้คนในสหราชอาณาจักรเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านความปลอดภัยในบ้าน การบริโภคอาหาร การเดินทาง และระบบบริการฉุกเฉินที่เริ่มรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว”
พาร์เรียกร้องให้รัฐบาลทุกกระทรวงร่วมกันวางแผน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมเพียงแห่งเดียว พร้อมเสนอให้ กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลจากวิกฤตโลกร้อน เพื่อเป็นงบประมาณในการปรับตัวของประเทศ โดยมองว่าเป็น “แนวทางที่เป็นธรรมและเป็นไปได้จริง”
คณะกรรมาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเผยแพร่รายงานฉบับใหม่ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งจะระบุรายละเอียดของ “สหราชอาณาจักรที่ปรับตัวได้ดี” (well-adapted UK) และแนวทางปกป้องโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อความเสี่ยงด้านภูมิอากาศในอนาคต
คิงยังแสดงความกังวลต่อทิศทางการเมืองของประเทศ โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้งานด้านสิ่งแวดล้อมได้รับการสนับสนุนจากทุกพรรคการเมือง แต่ปัจจุบัน “ความเห็นเริ่มแตกแยก” โดยเฉพาะคำประกาศของผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมที่ต้องการถอนตัวจากกฎหมาย Climate Change Act
ในวันเดียวกัน รายงานอีกฉบับที่รวมนักวิทยาศาสตร์กว่า 150 คนจากเครือข่ายมหาวิทยาลัย 11 แห่ง เสนอให้รัฐบาลอังกฤษ “ปฏิรูประบบอาหารอย่างจริงจัง” เพื่อรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า ความมั่นคงทางอาหารควรถูกยกระดับให้เทียบเท่าความมั่นคงของชาติ
รายงานเสนอให้ ตั้ง “คณะกรรมการปฏิรูประบบอาหารแห่งชาติ” รายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี ปรับโครงสร้างเงินอุดหนุนเกษตร เพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุรักษ์ธรรมชาติ และตั้งเป้าลดการบริโภคเนื้อสัตว์ และลดจำนวนปศุสัตว์ในประเทศ
ศาสตราจารย์ นีล วอร์ด จากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย หนึ่งในผู้ร่วมเขียนรายงาน กล่าวว่า “แรงกดดันจากสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางอาหาร และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จะทำให้ระบบอาหารของสหราชอาณาจักรต้องเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ใน 50 ปีข้างหน้า หากเราลงมือวันนี้ ยังมีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งต่อความมั่นคงของชาติ สุขภาพ เศรษฐกิจ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่หากไม่ทำ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจากวิกฤตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
