รีเซต

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวโครงการ JUMP+ หนุน บจ.โตก้าวกระโดด

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวโครงการ JUMP+ หนุน บจ.โตก้าวกระโดด
TNN ช่อง16
26 มิถุนายน 2568 ( 18:37 )
22

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังเปิดตัวโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน (JUMP+) กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่สนใจ และผู้ลงทุนรายใหญ่ รวมถึงนักลงทุนสถาบันในฝั่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทั้งในไทยและต่างประเทศ วันนี้ (26 มิ.ย. 2568) ว่า หลังการเปิดตัวโครงการ JUMP+ ซึ่งจะเปิดให้ บจ. สมัครเข้าร่วมโครงการได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 


โดย บจ.ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ไม่เกิน 5 ล้านบาท แบ่งเป็น 

1) ค่าที่ปรึกษาสำหรับจัดทำแผนธุรกิจในระยะ 3 ปีในโครงการ JUMP+ วงเงิน 5 แสนบาท ซึ่งล่าสุดมีที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor : FA) สนใจเป็นที่ปรึกษาเพื่อร่วมจัดทำแผนให้บจ.แล้วกว่า 10 แห่ง

2) ค่าดำเนินการตามแผนธุรกิจในการเติบโตก้าวกระโดด หรือ JUMP+ วงเงินรวม 4.5 ล้านบาท เพื่อใช้ในแผนธุรกิจ 3 ล้านบาท , แผนการจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 แสนบาท และแผนยกระดับธรรมาภิบาลอีก 5 แสนบาท  


และหากบจ.ที่เข้าโครงการสามารถสร้างการเติบโตได้ตามแผนก็จะได้รางวัลเพิ่มเติมอีก 5 แสนบาท อย่างไรก็ดี การให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ จะต้องเป็นไปในรูปแบบการร่วมจ่าย หรือ โค-เพย์เมนต์ (Co-payment) ซึ่งเป็นการให้เงินส่วนเพิ่มในส่วนที่บจ.จะมีการลงทุนอยู่แล้ว 


โดยเบื้องต้นตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะมีบจ.เข้าร่วมประมาณ 50-100 แห่ง ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของ บจ.ขนาดกลางและเล็กที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไม่ครอบคลุมบทวิเคราะห์ และไม่ได้นำเสนอเพื่อเป็นตัวเลือกของผู้ลงทุน จะได้มีโอกาสเข้ามาเสนอแผนธุรกิจและมีโอกาสได้ไปร่วมโรดโชว์แก่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเพิ่มโอกาสจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมากขึ้นด้วย 


ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่า บจ.ที่สนใจเข้าร่วมโครงการในช่วงนี้จะสามารถเริ่มจัดทำแผนธุรกิจได้ในไตรมาส 3-4 ปีนี้ ก่อนที่โครงการจะปิดรับสมัครในสิ้นปี 2568 นี้ และเมื่อบจ.จัดทำแผนระยะ 3 ปีแล้ว ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนการรายงนข้อมูลงบและข้อมูลทั่วไป


แต่อย่างไก็ดี บจ.ที่เข้าร่วมในโครงการ JUMP+ ไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากกระทรวงการคลัง เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีในโครงการนี้อยู่ แม้ปัจจุบันจะไม่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีก็ตาม นอกจากนี้ หากในอนาคตหากเกิดโครงการ Thai Individual Saving Account (TISA) ที่จะส่งเสริมการลงทุนของผู้ลงทุนส่วนบุคคลในประเทศไทย อาจพิจารณาดูว่าจะสามารถเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ JUMP+ ได้อย่างไรบ้างอีกครั้ง 


นายอัสสเดช เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในการเปิดตัวโครงการ JUMP+ วันนี้ มีนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจต่อโครงการจำนวนมาก แต่การตัดสินใจจะลงทุนหรือไม่ยังขอดูแผนธุรกิจก่อนว่าแผนของบจ.แต่ละแห่งน่าสนใจแค่ไหน ซึ่งหากจัดทำแผนแล้วยิ่งหนุนการเติบโตที่สูงขึ้นชัดเจนก็จะได้รับความใจจากผู้ลงลงทุนให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ต้องรับผิดชอบต่อแผนหรือเป้าหมายให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ทำให้ได้จริง เพราะหากเปิดเผยข้อมูลแล้วพบว่าจงใจจัดทำแผนข้อมูลที่สูงเกินจริง หรือจงใจ เพื่อสร้างความน่าสนใจเมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจพบทางคณะกรรมการของบริษัท(บอร์ด)ของ บจ.นั้นๆ ต้องรับผิดชอบ เพราะเข้าข่ายการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จ 


และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า "โครงการ JUMP+ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ซึ่งต่างจากที่ประเทศเกาหลีจัดทำและเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว และบจ.ที่เข้าโครงการต้องร่วมจ่ายเงินด้วย ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ คิดว่าอะไรจะเป็นจุดดึงดูดสำคัญที่จะทำให้โครงการ JUMP+ น่าสนใจและดึงบจ. เข้ามาร่วมได้"


ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตอบว่า เรื่องการสนับสนุนด้านการเงินด้านภาษีเป็นแรงจูงใจที่ดีอันหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นแรงจูงใจที่จำเป็นสำหรับบริษัทที่คิดว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะเติบโตดีอยู่แล้ว  หรือมีแผนงานที่จะอยากนำเสนอให้นักลงทุนอยู่แล้ว เราได้ยินกันมาตลอดว่าบริษัทเล็กๆ หลายหลายบริษัทนักวิเคราะห์ไม่ COVER เลย สภาพคล่องน้อย นักลงทุนไม่สนใจ นี่จึงเป็นโอกาสที่จะได้นำเสนอตัวเอง ภายใต้โครงการที่จะได้นำเสนอบริษัทตัวเองต่อนักลงทุนทั่วโลก"  


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง