รีเซต

‘วายแอลจี’ ชี้ทองคำยังขึ้นต่อได้ แนะใช้โอกาสช่วงปรับฐานลงเข้าซื้อรอเก็งกำไรรอบใหม่

‘วายแอลจี’ ชี้ทองคำยังขึ้นต่อได้ แนะใช้โอกาสช่วงปรับฐานลงเข้าซื้อรอเก็งกำไรรอบใหม่
มติชน
8 กันยายน 2563 ( 09:02 )
114
1

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (วายแอลจี) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำไทย ทิศทางการราคาทองคำในเดือนกันยายน 2563 ประเมินว่าราคามีทิศทางปรับฐานลงต่อเนื่อง หลังจากราคาพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำทำสถิติสูงสุดที่ 30,400 บาทต่อบาททองคำ หากนับตั้งแต่เดือนมกราคม ราคาทองคำแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 22,344.44 บาท ขายออก 22,444.44 บาท ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อ 21,941.57 บาท ขายออก 22,944.44 บาท ส่วนเดือนสิงหาคม ราคาทองคำแท่ง รับซื้อ 30,300บาท ขายออก 30,400บาท ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อ 29,759.08บาท ขายออก 30,900 บาท ส่วนเริ่มต้นเดือนกันยายนนี้ ราคาทองสปอตลดลงมาอยู่ที่ 1,933.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งมองว่าเป็นการปรับฐานเพื่อรอการปรับขึ้นต่อในช่วงที่เหลือของปี เพราะยังมีโอกาสที่ทองคำสปอตจะปรับขึ้นแตะ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้

 

“ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำมีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่เป็นการผันผวนขาขึ้น เพราะมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่หดตัวลง หลังจากเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนอื่นๆ อาทิ หุ้น กองทุนรวมหุ้น ตราสารหนี้ ปรับตัวลดลงค่อนข้างร้อนแรง ตลาดทองคำจึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง แม้ในช่วงโควิด-19 จะเห็นการลงทุนทองคำเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น สวนทางกับการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย ที่เน้นการลงทุนระยะยาวก็ตาม โดยหากราคาทองคำปรับฐานมาลง ยังสามารถเข้าซื้อสะสมต่อได้ เพราะมองว่าทองคำยังเป็นทิศทางขาขึ้นมากกว่า” นางพวรรณ์ กล่าว

 

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในระยะสั้นให้แนวรับแรกอยู่ที่ 1,950 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์หรือประมาณ 28,800 บาทต่อบาททองคำ ส่วนแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,934 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 28,550 บาทต่อบาททองคำ ส่วนนักลงทุนระยะกลางที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำรอซื้อที่ 1,919 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 28,350 บาทต่อบาททองคำ และตั้งจุดขายตัดขาดทุนหากหลุด 1,916 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งแนวรับนี้ถือเป็นกรอบล่างของแนวโน้มราคาทองคำขาขึ้น

 

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 15-16 กันยายนนี้ ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขาต่างๆ ที่ทยอยออกมา จะแสดงทรรศนะที่สำคัญว่า แต่ละคนมีมุมมองต่อเป้าหมายเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐอย่างไร รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ทั้งตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน สิงหาคม การเปิดเผยตัวเลขสำคัญในตลาดแรงงาน ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราการว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงแรงงาน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบทิศทางดอลลาร์และราคาทองคำได้ค่อนข้างมากด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง