รีเซต

วุฒิสภาไทย 3 ยุค 3 รูปแบบ จากเลือกตั้งสู่สรรหาและเลือกกันเอง

วุฒิสภาไทย 3 ยุค 3 รูปแบบ จากเลือกตั้งสู่สรรหาและเลือกกันเอง
TNN ช่อง16
27 มิถุนายน 2567 ( 17:23 )
36

บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยเส้นทางวิวัฒนาการของวุฒิสภา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นแห่งความหวังภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 สู่ความผันผวนในยุค 2550 และบทสรุปที่น่าจับตาในรัฐธรรมนูญ 2560 พร้อมวิเคราะห์เจาะลึกถึงที่มาของ สว. แต่ละยุค ที่ส่งผลต่อบทบาทและอำนาจของสภาสูงแห่งนี้



รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด 200 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ใช้ได้เพียง 2 สมัยก่อนถูกยกเลิกเพราะรัฐประหาร

รัฐธรรมนูญ 2550 ปรับให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (76 คน) ผสมกับการสรรหา (74 คน) รวมเป็น 150 คน แต่ก็ใช้ได้แค่ 2 สมัยเช่นกันก่อนถูกยุบไปหลังรัฐประหาร

รัฐธรรมนูญ 2560 เปลี่ยนแปลงวุฒิสภาไปมาก โดย 5 ปีแรกเป็นสมาชิกสรรหา 250 คน ส่วนใหญ่โดย คสช. และหลังจากนั้นจะมาจากการเลือกกันเองของบุคคลใน 20 กลุ่มอาชีพ รวม 200 คน ด้วยกระบวนการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน



วุฒิสภาถือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญในการทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติควบคู่ไปกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนับตั้งแต่มีการสถาปนาวุฒิสภาขึ้นครั้งแรกในปี 2489 เป็นต้นมา ที่มาและกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับหลังสุด ที่มีการปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาอย่างเป็นรูปธรรม


ก้าวสำคัญของวุฒิสภาเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นับเป็นการวางหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะประเด็นด้านที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้ สว. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยมีจำนวน 200 คน ใช้ระบบเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี 


การเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือก สว. โดยตรงนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเป็นสภาประชาชน เพิ่มความชอบธรรมทางการเมืองให้กับสถาบันนิติบัญญัติ และสร้างกลไกตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ระบบเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมดนี้ได้ถูกยกเลิกไปหลังเกิดรัฐประหารในปี 2549 ทำให้วุฒิสภาเลือกตั้งดำรงอยู่ได้เพียง 2 วาระเท่านั้น


การปรับเข็มสู่วุฒิสภาผสมในรัฐธรรมนูญ ปี 2550

ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการปรับเปลี่ยนที่มาของ สว. อีกครั้ง โดยให้มาจาก 2 ส่วน คือ 1) การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจังหวัด จังหวัดละ 1 คน (76 คน) และ 2) การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา (74 คน) รวมเป็นสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด 150 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี เช่นเดิม


การปรับรูปแบบที่มาของ สว. ในครั้งนี้ สะท้อนแนวคิดที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างหลักการเลือกตั้งกับการสรรหา โดยให้ประชาชนยังสามารถเลือก สว. ได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งให้มาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการที่ส่วนใหญ่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิในองค์กรต่างๆ 


อย่างไรก็ดี การปรับระบบแบบนี้กลับถูกมองว่าเป็นการลดทอนเสียงของประชาชนไปครึ่งหนึ่ง และเพิ่มอิทธิพลของคณะกรรมการสรรหาที่มีที่มาไม่เป็นประชาธิปไตย แต่กระนั้นระบบผสมก็ยังอยู่ได้เพียง 2 รอบ ก่อนมีการยึดอำนาจอีกครั้งในปี 2557


การปฏิรูปสู่วุฒิสภาแบบใหม่ในรัฐธรรมนูญ 2560

ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดที่มาของวุฒิสภาไว้แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมาก โดยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก จะมี สว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึง 244 คน ส่วนอีก 6 คนมาจากตำแหน่ง วุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจพิเศษในการร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องความชอบธรรม


หลังจากช่วงเปลี่ยนผ่าน สว. ชุดถาวรจะมีจำนวน 200 คน โดยมาจากการเลือกกันเองของบุคคลใน 20 กลุ่มอาชีพ ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ จนได้ผู้แทนแต่ละกลุ่มๆ ละ 10 คน วิธีการเลือกแบบนี้มีความซับซ้อนและห่างไกลจากการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้ถูกตั้งคำถามมากมายถึงเจตนาและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น


บทส่งท้าย: บทเรียนและความท้าทายของวุฒิสภาไทย

การเปลี่ยนแปลงที่มาของ สว. ใน 3 รัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ตั้งแต่เลือกตั้ง 100% ผสมระหว่างเลือกตั้งกับสรรหา ไปจนถึงการสรรหาและเลือกกันเองโดยคนในกลุ่มอาชีพ สะท้อนให้เห็นความพยายามในการปรับโครงสร้างสถาบันนิติบัญญัติให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเมืองในแต่ละช่วง แต่ก็มีแนวโน้มลดทอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดตัวแทนระดับชาติลงเรื่อยๆ  


บทเรียนสำคัญคือ การออกแบบที่มาของ สว. ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นประชาธิปไตย ที่เคารพเสียงของประชาชนเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างกลไกที่ทำให้ สว. ทำหน้าที่เป็นสภาตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความชอบธรรมเพียงพอ ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นความท้าทายต่อเนื่อง ที่สังคมไทยต้องช่วยกันขบคิดหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง