ทำไม ‘รัฐประหาร’ ถึงไม่เวิร์กอีกต่อไป ในโลกที่ประชาธิปไตยเดินหน้า?

กลไกประชาธิปไตยก้าวข้ามเงาของรัฐประหาร
การรัฐประหารกับการเมืองไทยเป็นเรื่องราวที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง แต่ในยุคปัจจุบัน ประเด็นนี้กำลังถูกทบทวนใหม่อย่างจริงจัง ทั้งจากตัวผู้นำประเทศ ผู้นำกองทัพ และเสียงของประชาชนที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยเดินหน้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในรัฐบาลของ "ภูมิธรรม เวชยชัย" กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรัฐประหารกลายเป็นทางเลือกที่ล้าหลังไปแล้ว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
พันธมิตรใหม่ระหว่างพลเรือนและทหาร
การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพในยุคนี้มีความโปร่งใสและเป็นระบบมากกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยข้อมูลสำคัญว่า ผู้นำเหล่าทัพได้ยืนยันกับรัฐบาลอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดหรือคำมั่นสัญญาเปล่า แต่ถูกยืนยันผ่านการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องในประเด็นสำคัญต่างๆ ทุกฝ่ายต่างเข้าใจบริบทของประชาธิปไตยและพร้อมทำงานภายใต้รัฐบาลพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นความมั่นคงและสถานการณ์ชายแดน เช่น กรณีไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลและกองทัพต่างเตรียมมาตรการรับมือไว้อย่างรอบคอบ
ความมั่นคงของรัฐบาลท่ามกลางพายุการเมือง
แม้ว่าจะมีแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศให้รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือการที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคถอนตัว แต่ภูมิธรรมยืนยันด้วยความมั่นใจว่ารัฐบาลยังคงมีเสียงข้างมาก
พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือยังคงทำงานร่วมกันได้ดี และไม่จำเป็นต้องหาทางลัดด้วยการรัฐประหาร ซึ่งในอดีตมักถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้วิกฤต แต่ปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกที่ไร้ความชอบธรรมและไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งสังคมไทยและประชาคมโลก
บทเรียนเจ็บปวดจากอดีต
การรัฐประหารในอดีตของไทย โดยเฉพาะการรัฐประหารในปี 2557 ได้สร้างผลกระทบในวงกว้างที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งต่อระบบการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ กลไกประชาธิปไตยถูกตัดตอนอย่างรุนแรง มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน
การรัฐประหารไม่เพียงทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายอย่างหนัก แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความสัมพันธ์กับนานาชาติ ที่สำคัญคือมีผู้คนจำนวนมากต้องลี้ภัยทางการเมืองจากการถูกคุกคามและดำเนินคดี บทเรียนเจ็บปวดเหล่านี้ทำให้สังคมไทยตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า การรัฐประหารไม่ใช่ทางออกของปัญหา แต่เป็นสัญญาณของความล้มเหลวในการใช้กลไกประชาธิปไตย
ยุคใหม่ที่รัฐประหารกลายเป็นสิ่งล้าสมัย
ในยุคศตวรรษที่ 21 รัฐประหารถูกมองว่าเป็นวิถีทางการเมืองที่ขาดความชอบธรรมและล้าหลังอย่างสิ้นเชิง หลายประเทศทั่วโลกต่างพยายามลดบทบาทของกองทัพในทางการเมือง และหันมาใช้กลไกทางประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาแทน
การรัฐประหารในปัจจุบันมีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับการถูกตัดความช่วยเหลือทางการเงินหรือถูกกีดกันทางการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พลังประชาชนเป็นเกราะป้องกันประชาธิปไตย
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองหลายคนมีความเห็นตรงกันว่า สิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารได้อย่างแท้จริงคือเสียงของประชาชนและพรรคการเมืองที่พร้อมต่อสู้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีกฎหมายหรือมาตรการต่างๆ เพื่อสกัดการรัฐประหาร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจตจำนงทางการเมืองของประชาชนและตัวแทนในสภาที่พร้อมยืนหยัดต่อต้านการใช้อำนาจนอกระบบ ภูมิธรรม เวชยชัย ยังเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาความมั่นคงและความขัดแย้งทางการเมืองต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ใช้กลไกประชาธิปไตยและกระบวนการทางการทูตเป็นหลัก
ผลประโยชน์ชาติเหนือการเมือง
ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ การสร้างความแตกแยกในชาติด้วยการหยิบยกประเด็นต่างประเทศหรือความขัดแย้งภายในมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองจะทำให้ประเทศอ่อนแอและตกเป็นเหยื่อของการแทรกแซงจากภายนอก
รัฐบาลและกองทัพต่างตระหนักถึงจุดนี้อย่างชัดเจน และพร้อมร่วมมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน โดยไม่ยอมให้ใครใช้ความขัดแย้งภายในเป็นเงื่อนไขให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ
ประชาธิปไตยไทยก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่
การรัฐประหารในยุคนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป เพราะทุกฝ่ายต่างเรียนรู้บทเรียนจากอดีต และพร้อมเดินหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนและกระบวนการทางการเมืองที่โปร่งใส
ความมั่นคงของประเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงใจ และไม่ยอมให้ใครใช้วิกฤตเป็นโอกาสสร้างความแตกแยกหรือทำลายความก้าวหน้าของประเทศ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยไทยกำลังเติบโตและเข้มแข็งขึ้น พร้อมเผชิญกับความท้าทายด้วยกลไกที่ถูกต้องและเป็นธรรม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
