จากเบี้ยเลี้ยงไม่กี่พัน สู่รอยรั่วระบบราชการ

เจาะคดีเบิกเท็จของอดีตนายกเทศมนตรี กับแนวทางสืบสวนเชิงลึกของ ป.ป.ช.
เมื่อพูดถึงคอร์รัปชัน ภาพจำของสังคมมักพุ่งเป้าไปที่โครงการระดับชาติ งบก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือกลไกซื้อขายอำนาจใต้โต๊ะที่โยงใยกับเครือข่ายการเมือง แต่ในอีกมุมหนึ่ง รูปแบบการทุจริตที่ส่งผลร้ายต่อระบบราชการอย่างลึกซึ้ง กลับเริ่มต้นจากเรื่องที่ดูเล็กน้อย เช่น การปลอมเอกสารเบิกค่าเดินทางอันไม่ถึงหมื่นบาท
นี่คือหนึ่งในคดีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. นำมาเป็นกรณีศึกษาสำคัญ โดยมี นราธิป หนูปักขิณ ผู้ว่าคดีสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้ให้ข้อมูล ซึ่งชี้ให้เห็นว่า หากปล่อยให้พฤติกรรมที่ผิดซ้ำๆ เหล่านี้ถูกมองเป็นเรื่องปกติ วันหนึ่งความเสียหายทางวินัยและศรัทธาอาจก่อตัวจนเกินเยียวยา
เรื่องเล็ก ที่ ‘ไม่เล็ก’ ใน ‘องค์กรท้องถิ่น’
คดีนี้เริ่มจากหนังสือร้องเรียนของประชาชนที่ส่งถึงสำนักงาน ป.ป.ช. โดยระบุว่า อดีตนายกเทศมนตรีตำบลกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ได้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการโดยอาศัยเอกสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
จำนวนเงินที่เบิกอยู่ที่ 5,750 บาท ครอบคลุมค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และค่ายานพาหนะ ซึ่งดูไม่ใช่ยอดเงินที่ใหญ่โต แต่สิ่งที่ ป.ป.ช. เห็นว่าเป็นปัญหาคือ ผู้มีอำนาจในตำแหน่งกลับใช้ช่องว่างทางระบบในการอนุมัติเงินให้ตัวเอง และลงนามเบิกจ่ายโดยไม่มีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ระดับล่าง เพราะอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง
เอกสารฉบับเดียว จุดชนวนการไต่สวนทั้งระบบ
เมื่อ ป.ป.ช. รับเรื่องไว้ หน่วยสืบสวนเริ่มจากการขอเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งคำสั่งอนุมัติราชการ สัญญายืมเงิน ใบฎีกาเบิกจ่าย บิลค่าที่พัก ค่าพาหนะ และหลักฐานการเงินอื่นๆ เพื่อประกอบการวิเคราะห์
จากนั้นจึงจัดลำดับเวลาและตรวจสอบความสมเหตุสมผลของเอกสารว่าเข้ากันได้หรือไม่ โดยเฉพาะรายละเอียดการเดินทางและระยะเวลาที่ใช้ เพื่อหาความจริงว่าการเดินทางเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และเป็นไปตามที่ระบุไว้ในเอกสารหรือไม่
ป.ป.ช. ยังเรียกพยานบุคคลมาสอบสวนเพิ่มเติม ทั้งเจ้าหน้าที่อีก 2 คนที่ถูกระบุว่าเดินทางร่วม และผู้จัดประชุมที่จังหวัดลำปาง เพื่อยืนยันว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าร่วมประชุมจริงหรือไม่
เมื่อคำขอเบิกไม่ตรงกับความเป็นจริง?
จากการสอบสวนพบว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นคำขอเดินทางไปราชการในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 โดยระบุว่าจะเดินทางพร้อมเจ้าหน้าที่อีก 2 คน และมีการเบิกเงินรวม 5,750 บาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามระเบียบ
แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่า มีเพียงเจ้าหน้าที่ 2 คนที่เดินทางในวันดังกล่าว ส่วนผู้ถูกกล่าวหาเดินทางในวันถัดไป คือวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 04.00 น. ถึงสถานที่ประชุมเวลา 07.00 น. และเดินทางกลับในวันเดียวกัน โดยไม่มีหลักฐานว่าได้เข้าร่วมประชุม
อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหากลับลงนามรับรองในเอกสารว่า ได้เดินทางตั้งแต่วันที่ 25 เวลา 08.00 น. และกลับถึงสำนักงานวันที่ 26 เวลา 21.00 น. รวมระยะเวลา 1 วัน 13 ชั่วโมง ซึ่งตรงตามเกณฑ์ที่สามารถเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักได้ หากเป็นข้อเท็จจริง
‘ไม่เข้าเกณฑ์’ แต่กลับ ‘เบิกได้’
เมื่อเปรียบเทียบกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. 2526 ข้อ 15 และข้อ 16 ระบุชัดว่า การเบิกเบี้ยเลี้ยงต้องมีระยะเวลาเดินทางเกิน 12 ชั่วโมง และค่าที่พักต้องเกิดขึ้นจริงจากการพัก โดยไม่มีการจัดหาจากทางราชการ
ในคดีนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. สรุปว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิ์เบิกค่าใช้จ่ายใด ๆ เนื่องจากการเดินทางเกิดขึ้นจริงในวันที่ 26 มิถุนายน 2555 เวลา 04.00 น. และกลับในวันเดียวกัน ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ระยะเวลาเกิน 12 ชั่วโมงตามระเบียบ อีกทั้งไม่มีหลักฐานการเข้าพักในโรงแรม และไม่มีข้อมูลยืนยันว่าได้เข้าร่วมภารกิจราชการตามที่แจ้งไว้ในเอกสารเบิกจ่าย.
กระบวนการที่ยืดเยื้อแต่ไม่ถูกมองข้าม
แม้พนักงานสอบสวน สภ.กงไกรลาศ และพนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัยจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า คดีมีมูลพอที่จะดำเนินการต่อ จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นใหม่ โดยมีความเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 อนุ 1 และ 4
เมื่อส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด ฝ่ายอัยการเห็นว่าเป็นคดีเดียวกับที่เคยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และตั้งข้อไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับอำนาจฟ้อง จึงมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดเพื่อหาข้อยุติ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ สุดท้าย ป.ป.ช. โดยสำนักคดีจึงใช้สิทธิฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ด้วยตนเอง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริง ตามมาตรา 151 ลงโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 10,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ ไม่เคยต้องโทษมาก่อน และได้คืนเงินตั้งแต่ก่อนถูกชี้มูล จึงลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท และรอลงอาญา 2 ปี
7,852 จุดเสี่ยงบนแผนที่ราชการไทย
คดีทุจริตเบิกค่าเดินทางอันเป็นเท็จไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหน่วยงานระดับใดระดับหนึ่ง แต่ปรากฏให้เห็นแทบทุกระดับของระบบราชการ นราธิป หนูปักขิณ ระบุว่า พฤติกรรมเช่นนี้พบมากในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณด้านการเดินทางเพื่อประชุม สัมมนา และศึกษาดูงานเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี ช่องว่างของระบบตรวจสอบภายในประกอบกับอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ในตัวผู้บริหารท้องถิ่น ทำให้การอนุมัติ เบิกจ่าย และตรวจรับสามารถเกิดขึ้นในบุคคลเดียวกัน โดยไม่มีกลไกถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ
ข้อมูลจาก ป.ป.ช. ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถึง 7,852 แห่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับหน่วยงานราชการประเภทอื่น ในแต่ละปีมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเดินทางทั้งภายในและต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อย และในบางแห่ง การเดินทางกลายเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ การเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักจึงกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่อาจถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หากไม่มีการตรวจสอบที่เข้มแข็ง
แม้แนวโน้มโดยรวมของคดีประเภทนี้จะไม่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่สิ่งที่ ป.ป.ช. พบคือความถี่ของการกระทำผิดที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ บางกรณีอาจถูกมองข้ามเพียงเพราะจำนวนเงินไม่มาก แต่หากนำมารวมกันหลายคดีในช่วงเวลาหลายปี ความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมสะสมเป็นตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมที่ดูเหมือนเล็กน้อย จึงไม่ต่างจากการปล่อยให้วัฒนธรรมการใช้อำนาจโดยมิชอบเติบโตอยู่ภายในโครงสร้างของรัฐอย่างเงียบเชียบ
‘เทคโนโลยีจับโกง’ และการมีส่วนร่วมจากประชาชน
เพื่อรับมือกับการทุจริตรูปแบบใหม่ ป.ป.ช. ได้พัฒนาเครื่องมือเชิงเทคนิคเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบพิกัดเดินทางจาก GPS การใช้ภาพจากกล้องวงจรปิด การตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์มือถือ และระบบติดตามทะเบียนรถ รวมถึงเครือข่ายภาคประชาชนและนักสืบสวนในทุกจังหวัด ที่สามารถให้ข้อมูลในพื้นที่ได้แบบเรียลไทม์
นราธิป หนูปักขิณ ฝากเตือนว่า หากใครคิดว่า “โกงนิดหน่อยไม่มีใครรู้” วันนี้อาจยังไม่ถูกตรวจพบ แต่หากมีคนร้องเรียนหรือเกิดการตรวจสอบย้อนหลังขึ้นมา อนาคตทั้งหมดอาจพังทลายจากการตัดสินใจผิดเพียงครั้งเดียว
การซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่คุณธรรม แต่คือหลักประกันของระบบราชการ
คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า การทุจริตไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงบประมาณก้อนใหญ่ แต่อาจเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็กๆ ที่ถูกมองว่า “แค่นี้คงไม่เป็นไร” เมื่อความซื่อสัตย์กลายเป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล โดยไม่มีระบบตรวจสอบหรือวัฒนธรรมองค์กรคอยค้ำยัน ช่องว่างจึงเปิดให้ผู้มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์ได้โดยง่าย ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไร้กลไกจะท้วงติง ผลลัพธ์จึงไม่ใช่แค่การเสียหายของบุคคลใดคนหนึ่ง แต่คือการสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อระบบราชการทั้งระบบ และหากเรื่องเล็กยังถูกปล่อยผ่าน เรื่องใหญ่ก็คงยากจะควบคุมทัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
