รีเซต

BGCดีลซื้อบรรจุภัณฑ์อื้อ วางหมากโตเท่าตัวใน5ปี

BGCดีลซื้อบรรจุภัณฑ์อื้อ วางหมากโตเท่าตัวใน5ปี
ทันหุ้น
16 พฤศจิกายน 2564 ( 20:58 )
78

ทันหุ้น - BGC เดินหน้าเจรจาซื้อกิจการ-ร่วมทุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แย้มดีล 3-4 ดีล ใช้เงินลงทุน 1 -1.5 พันล้านบาท วางเป้าระยะยาวในปี 2568 รายได้เติบโตเท่าตัวอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดรายได้ยังเติบโตเล็กน้อย แม้จะล็อกดาวน์ ส่วนปีหน้าขยับอีก 5-10% มีขวดแก้วในสต๊อกรับดีมานด์ ก่อนกำลังผลิตเพิ่มปี 2566 ไม่ห่วงต้นทุนขึ้น วางแผนจัดการทั้งปรับสูตร-ขึ้นราคาแล้ว

 

นายศิลปะรัตน์  วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทย และภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทประเมินรายได้ในปี 2565 ยังมีการเติบโตในระดับประมาณ 5-10% จากปีนี้ จากภาวะเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว หลังสถานการณ์โควิดผ่อนคลายขึ้น ทำให้ความต้องการใช้สินค้าขวดแก้ว และสินค้าบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้บริษัทได้วางแผนการบริหารต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาเชื้อเพลิงและโซดาแอช แล้วโดยจะมีการปรับสูตรการผลิตขวดแก้ว ให้เหมาะสม รวมถึงจะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นบางส่วน จึงเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบ ขณะเดียวกันบริษัทก็มีสต๊อกสินค้าในระดับหนึ่งที่จะสร้างเพิ่มรายได้ และรองรับกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเมืองด้วย

 

@ ดีลซื้อกิจการ 3-4 ดีล

นายศิลปรัตน์  กล่าวว่า สำหรับการซื้อกิจการหรือการร่วมทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์นั้น ขณะนี้มีการเจรจาอยู่ประมาณ 3-4 ดีล ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ขนาดประมาณ 500-2,000 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจด้านกระดาษ และแผ่นฟิล์ม ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปดีลการซื้อกิจการหรือการร่วมทุนภายในปีหน้า ตั้งงบลงทุนไว้ที่1.0-1.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร

 

ทั้งนี้บริษัทได้วางแผนการเติบโตของรายได้ระยะยาว 5 ปีเท่าตัวอยู่ที่ระดับ 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี2568 จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท โดยแนวทางที่ทำให้รายได้เติบโตตามเป้าหมาย จะมาจากการที่บริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว โดยลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ที่โรงงานราชบุรี ซึ่งจะเป็นเตาที่12 จากปัจจุบันมีจำนวน 11 เตา โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปี 2566 และมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตเตาหลอมที่โรงงานปราจีนบุรี คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้บริษัทใช้งบลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท และจะช่วยทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบัน 3,495 ตันต่อวัน นอกจากนี้ก็ยังมีดีลการซื้อกิจการหรือการร่วมทุนดังกล่าว เข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้อีกทาง

 

@ รายได้ปีนี้ยังเติบโต

สำหรับผลดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก จนทำให้มีมาตรการล็อกดาวน์ แต่ผลประกอบการ9  เดือนแรกของปีนี้บริษัทก็ยังสามารถสร้างรายได้จากการขายอยู่ที่ 9,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

 

และในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น หลังจากที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร และเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ จึงทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นจึงประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2564 จะมีผลดำเนินงานที่ดี

 

ส่วนกรณีที่บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงานโดยการขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท โซล่า เพาเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือSPM ให้แก่บริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด หรือ BGE แลกกับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BGE สัดส่วน 27.27%  แต่บริษัทต้องการถือหุ้นในสัดส่วน 19.93% เท่านั้น ดังนั้นจึงขายหุ้น 7.35% ให้กับBG ทำให้ได้รับเงินกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งการปรับโครงสร้างนี้ จะช่วยลดความเสี่ยง และมีโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระยะยาว เนื่องจาก BGE นั้นมีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหลายแห่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นก็จะได้ผลตอบแทนปันผลเพิ่ม

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง