CPALLชูยอดโต7% ปูพรมกัมพูชา-ลาว
#CPALL #ทันหุ้น – CPALLปีนี้สดใสยอดขายต่อสาขาเดิมจะโต 5-7% ตั้งงบ 2.7 หมื่นล้านบาท ลุยขยาย 7-11 ในไทยเพิ่ม 700 สาขา ถึงเวลารุกกัมพูชาราว 30 สาขา และประเดิมเข้าสู่สปป.ลาว 1-2 สาขา อย่าวิตกต้นทุน ย้ำสามารถบริหารต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยไม่เกิน 4% ต่อปี และบริหารต้นทุนดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพ
นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า ในปี 2566 กลุ่มบริษัทวางงบลงทุนไว้ราว 2.5 – 2.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจค้าส่ง (Wholesale Business) ราว 1.3 – 1.5 หมื่นล้านบาท และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) ราว 1.2 – 1.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อลงทุนขยายสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) จำนวน 700 สาขาในประเทศไทย และขยายสาขาในต่างประเทศราว 30 สาขาในกัมพูชา และราว 1 – 2 สาขาใน สปป.ลาว ควบคู่กับการมุ่งพัฒนาแพลตพอร์ม O2O ทั้ง 7-11 Delivery และ All Online เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง
บริษัทตั้งเป้ายอดขายต่อสาขา (SSSG) เฉลี่ยทั้งปี 2566 จะเติบโต 5-7% สูงกว่าประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ในประเทศที่หลายหน่วยงานทำไว้ราว 3-4%YoY หนุนจากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น, กำลังซื้อในประเทศที่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง, และมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐบาล
@ MAKRO-โลตัสฟื้นแกร่ง
สำหรับกลุ่มค้าส่งซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKROนั้นยังมีศักยภาพเติบโตสอดคล้องกับการฟื้นตัวของผู้ประกอบการรายย่อย ขณะที่กลุ่มธุรกิจเทสโก้ โลตัสนั้นก็สามารถจำหน่ายสินค้าที่มีกำไรขั้นต้น (Margin) สูงได้ดี อีกทั้งรายได้จากค่าเช่าพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 1 แสนตารางเมตร มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เช่าพื้นที่
“ธุรกิจค้าปลีก 7-11 นั้นพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนการเดินเข้าไปเลือกซื้อของภายในสาขาจะเลือกซื้อสินค้าในกลุ่มเวชภัณฑ์ และอาหารพร้อมทานมากขึ้น ส่วนสินค้าอุปโภค-บริโภคก็จะซื้อของขนาดใหญ่ขึ้นและมุ่งเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา (Value for Money) มากขึ้น มูลค่าต่อใบเสร็จเฉลี่ยยังอยู่ที่ 85 บาทขึ้นไป รวมถึงยังสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกันนี้จากแผนการขยายสาขาอีกราว 700 สาขาคาดว่าจะสามารถสนับสนุนให้ยอดขายต่อสาขาเฉลี่ยทั้งปี 2566 เติบโตได้ราว 5-7%”
@เน้นบริหารต้นทุน
กลุ่มบริษัทมีแผนบริหารจัดการต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพในภาวะอัตราดอกเบี้ย “ขาขึ้น” โดยจะทยอยรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดด้วยการออกหุ้นกู้ใหม่ ควบคู่กับการรีไฟแนนซ์ต้นทุนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกาของ MAKRO มาเป็นสกุลเงินบาท เบื้องต้นคาดว่าทาง MAKROจะเปิดเผยแผนการออกหุ้นกู้ภายในงวดไตรมาส 2/2566 นี้ โดยจะพยายามควบคุมต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยไม่ให้สูงกว่า 4% ต่อปี
สำหรับต้นทุนการดำเนินธุรกิจค้าปลีกนั้นมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากอัตราค่าไฟฟ้าต่อยูนิตที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เบื้องต้นกลุ่มบริษัทมีแผนบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าต่อสาขาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับการปรับลดต้นทุนการดำเนินงานด้านอื่นลงอย่างต่อเนื่อง
@แนะ “ซื้อ” เป้า 72 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ภาพรวมอัตราการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ทั้งปี 2566 มีแนวโน้มที่ดี สะท้อนจาก SSSG ช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2566 ยังแข็งแกร่งที่ 8%-12% ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะฟื้นสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ที่ 26% จากสัดส่วนสินค้าที่ดีขึ้นและการเพิ่มประเภทสินค้าใหม่เข้ามา รวมถึงคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ดีจนสามารถชดเชยค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายพนักงานที่เร่งตัวขึ้นได้ เบื้องต้นประมาณการกำไรสทุธิทั้งปี 2566 ที่ 1.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 72 บาท