"ค่าแรง vs ค่าแกง" 400 บาท เอาอยู่ไหม? สมการยากที่ต้องถอดรหัส
ค่าแรง 400 จุดเปลี่ยนหรือจุดเริ่มต้นวิกฤต?
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทในปี 2568 กำลังสร้างทั้งความหวังและความกังวลให้กับสังคมไทย ในขณะที่ฝ่ายแรงงานมองว่านี่คือโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ภาคธุรกิจกลับกังวลว่าอาจกระทบต่อต้นทุนและความอยู่รอด โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากผลกระทบของโควิด-19
ล่าสุด คณะกรรมการค่าจ้างได้มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยกำหนดอัตราสูงสุด "400 บาท" ใน 4 จังหวัดและ 1 อำเภอ ได้แก่ "ภูเก็ต" "ฉะเชิงเทรา" "ชลบุรี" "ระยอง" และ "อำเภอเกาะสมุย" มีผลตั้งแต่ "1 มกราคม 2568" การปรับขึ้นครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
หากย้อนดูสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า "ค่าแรง" เพิ่มขึ้นเพียง "1.2% ต่อปี" ในขณะที่ "ค่าครองชีพ" กลับพุ่งสูงขึ้นถึง "1.5% ต่อปี" ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็น "กำลังซื้อที่หดหาย" ของแรงงานไทย จนเกิดภาวะ "เงินเดือนไม่พอใช้" ที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
"นิด้าโพล" ได้เผยผลสำรวจที่น่าสนใจว่า "60.84% ของประชาชน" ยังคงกังวลว่าแม้จะปรับค่าแรงเป็น "400 บาท" หรือประมาณ "12,000 บาทต่อเดือน" ก็อาจไม่เพียงพอกับ "ค่าครองชีพ" ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ "ค่าอาหาร" "ค่าที่พัก" และ "ค่าเดินทาง" ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
ในด้านผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน "ธุรกิจใหญ่" อย่างโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวยืนยันว่า "ไม่กระทบ" เนื่องจากจ่าย "เกินค่าแรงขั้นต่ำ" อยู่แล้ว พร้อมทั้งมี "สวัสดิการเสริม" ทั้งที่พักและอาหาร แต่สถานการณ์กลับตรงกันข้ามสำหรับ "ธุรกิจเล็ก" โดยเฉพาะที่เพิ่งฟื้นตัวจาก "วิกฤตโควิด-19" ซึ่งการปรับค่าแรงครั้งนี้อาจเป็น "ภาระหนัก" ที่ต้องแบกรับ
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้คาดการณ์ว่า "ต้นทุนแรงงาน" จะเพิ่มขึ้น "6%" และอาจส่งผลให้ "เงินเฟ้อ" ขยับขึ้น "0.1%" ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก แต่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็กที่มีกำไรน้อยอยู่แล้ว
รัฐบาลได้วางแผนมาตรการช่วยเหลือหลายด้าน ทั้งการ "ลดภาษี" และ "ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ" สำหรับ SMEs พร้อมทั้ง "ควบคุมราคาสินค้า" และ "พัฒนาทักษะแรงงาน" อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญว่ามาตรการเหล่านี้จะ "ทันการณ์" และ "เพียงพอ" หรือไม่
ท้ายที่สุด การปรับค่าแรงครั้งนี้อาจเป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ของการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เราอาจต้องมองไปไกลกว่าแค่ "ตัวเลข" โดยคำนึงถึงการพัฒนาทั้งระบบ ทั้ง "การพัฒนาทักษะแรงงาน" "การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต" และ "การสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน"
เพราะสุดท้ายแล้ว การมี "งานทำ" อาจสำคัญพอๆ กับการมี "ค่าแรงสูง" และการทำให้ทุกฝ่าย "อยู่รอด" ไปด้วยกันได้ คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมกัน "ถอดรหัส" และหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน
ภาพ Freepik