รีเซต

ยกดินแดนให้รัฐอื่น ทำได้อย่างไร สันติวิธี เพื่อยุติความขัดแย้ง ?

ยกดินแดนให้รัฐอื่น ทำได้อย่างไร สันติวิธี เพื่อยุติความขัดแย้ง ?
TNN ช่อง16
23 สิงหาคม 2568 ( 16:36 )
13

ช่วงนี้ เราอาจได้ยินเรื่องการยกดินแดน เพื่อสันติภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ แนะประธานาธิบดียูเครน ยอมทิ้งไครเมียแก่รัสเซีย เพื่อยุติสงคราม 


หรือบางครั้ง ก็เป็นการแบ่งปันดินแดนพิพาทในอดีต ที่ไม่ก่อให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ


จนสงสัยว่า การยกดินแดนให้กับประเทศอื่นนั้นทำได้อย่างไร มีประเทศไหนบ้าง ที่เคยยกดินแดนให้กับรัฐอื่นบ้าง


การ “ยกดินแดน” คืออะไร ?


เว็บไซต์ Oxford Public International Law ให้คำนิยาม “การยกดินแดน” (Cession) ว่า เป็นข้อตกลงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ที่รัฐหนึ่งโอนกรรมสิทธิ์ดินแดนให้กับอีกรัฐหนึ่ง ด้วยความยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย เป็นหนึ่งในวิธีที่รัฐต่าง ๆ สามารถได้มาซึ่งดินแดนโดยชอบด้วยกฎหมาย และ

สันติวิธี 


หัวใจสำคัญของการยกดินแดน จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากทั้ง 2 ประเทศ และต้องเกิดจากความเห็นชอบตรงกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่การข่มขู่ หรือ ใช้กำลังทางทหารเข้ายึดครอง  


นอกจากนี้ การยกดินแดน จะไม่ใช่การรวมดินแดน ผนวกดินแดน แยกดินแดน หรือให้เช่าสัญญาดินแดน เพราะวิธีการได้มา จะแตกต่างกัน 


อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ “การยกดินแดน” เพิ่มเติมได้ที่นี่: https://opil.ouplaw.com/display/10.1093/law:epil/9780199231690/law-9780199231690-e1377

ตัวอย่างการ “ยกดินแดน” ในอดีต


การซื้อหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส ในปี 1803 ของสหรัฐฯ ถือว่า เป็นตัวอย่างการโอนกรรมสิทธิ์ดินแดนที่โด่งดังสุด โดยสหรัฐฯ ซื้อดินแดนในราคา 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขนาดพื้นของสหรัฐฯ ใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่า 


นอกจากนี้ ปี 1867 สหรัฐฯ ยังซื้ออะแลสกาจากรัสเซียด้วย ในราคา 7.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 


นอกเหนือจากการซื้อขายดินแดนแล้ว ในอดีตยังมีการแลกเปลี่ยนดินแดน ซึ่งกันและกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในปี 1890 สหราชอาณาจักรยอมยกเกาะเฮลิโกลันด์ให้กับเยอรมนี เพื่อแลกกับสิทธิ์การปกครองเกาะแซนซิบาร์ ซึ่งปัจจุบัน เป็นของแทนซาเนีย หลังได้รับเอกราชเมื่อปี 1963 


นอกจากนี้ การยกดินแดนหลายกรณี ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างดินแดนตามสนธิสัญญาสันติภาพ อย่าง สนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1947 ที่ทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ฟินแลนด์ยกพื้นที่บางส่วนให้กับสหภาพโซเวียต


“กรณีของฟินแลนด์ ฟินแลนด์ เคยทําสงครามนะกับทางสหภาพโซเวียต และฟินแลนด์ก็พ่ายแพ้ในสงคราม  ยูเครนเนี่ย อาจจะคล้ายกรณีของฟินแลนด์ สุดท้ายแล้วเมื่อพบว่า พ่ายแพ้แล้ว ฟินแลนด์ก็ต้องยอมรักษา ดินแดนส่วนใหญ่ไว้ โดยการที่จะเรียกได้ว่า ยอมปล่อยดินแดนส่วนที่น้อยกว่านั้นออกไปก็คือ เมื่อยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ดินแดนส่วนที่รัสเซียยึดครองนั้น ก็ต้องปล่อยให้เป็นดินแดนทางรัสเซียไป มีการทําสนธิสัญญา มีการยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วก็มีการสละดินแดน อันนั้นก็ถือว่า เป็นการได้มาของดินแดนของตามกฏหมายระหว่างประเทศ” ดร.รุสตั้ม หวันสู อาจารย์สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าว 


ดร.รุสตั้ม กล่าวย้ำว่า ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ การได้มาซึ่งดินแดนต้องผ่านความยินยอมของเจ้าของอำนาจอธิปไตย


ปัจจุบัน การยกดินแดนมักเกี่ยวข้องกับส่วนเล็ก ๆ ของดินแดนตามแนวชายแดน ดังนั้น การยกดินแดนจึงเป็นเทคนิคทางกฎหมายที่ใช้ในการปรับปรุงแนวเขตแดนระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน เช่น การปรับปรุงแนวชายแดนระหว่างเยอรมนีกับเบลเยียมในปี 1982 หรือจะเป็นการปรับปรุงแนวชายแดนระหว่างเยอรมนีกับ สาธารณรัฐเช็กในปี 2003 

ไทย-มาเลเซีย เคยจัดการปัญหาดินแดนพิพาทด้วยสันติ 


ประเทศไทยเอง สมัยก่อนก็เคยมีการแบ่งปันดินแดนกับเพื่อนบ้าน อย่าง มาเลเซีย ด้วยวิธีสันติเช่นกัน โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อเลย 


ข้อมูลจากช่อง YouTube “ประวัติศาสตร์นอกตำรา” เผยเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาเขตแดนไทย-มาเลเซีย โดยในอดีตไทยและมาเลเซีย เคยสร้างรั้วกั้นเขตแดนของตน ซึ่งจะมีพื้นที่ว่างตรงกลางเรียกว่า No Man’s Land ซึ่งภายหลังนำมาสู่ปัญหา ที่ก่อให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายตรงพื้นที่นี้ 


รับชมคลิป เปิดวิธีแก้ปัญหาเขตแดนไทย-มาเลเซีย I ประวัติศาสตร์นอกตำรา EP.282: https://youtu.be/fwwWpdhM28Q


ต่อมาทั้ง 2 ประเทศ เห็นพ้องต้องกันว่า ควรสร้างรั้วร่วมกัน ที่ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด จึงได้จัดทำการสำรวจแนวเขตแดนของทั้ง 2 ประเทศ ก่อนจะพบว่า มีสิ่งก่อสร้างสำคัญของไทย 3 แห่ง ที่ล้ำเข้าไปยังเขตแดนมาเลเซีย ได้แก่ ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์, ศาลเจ้าฮกเต็กแป๊ะกง และศาลเจ้าแม่กวนอิม


แต่แทนที่มาเลเซีย จะสั่งให้ไทยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นออก กลับใช้วิธีการแบบสันติวิธี ด้วยการให้ไทยแลกพื้นที่ในจำนวนที่เท่ากัน โดยครั้งนั้น ไทยได้ยอมแลกดินแดนทางรถไฟ ด้วยขนาดพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน 


การแก้ปัญหานี้ ถือเป็นการดำเนินด้วยสันติวิธี โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางทหาร หรือ วิธีที่แข็งกร้าว และเป็นการจบปัญหาเรื่องดินแดนพิพาท โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างตกลงยินยอมด้วยความเต็มใจทั้งคู่ 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


https://opil.ouplaw.com/display/10.1093/law:epil/9780199231690/law-9780199231690-e1377

https://youtu.be/fwwWpdhM28Q

https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/208673/

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง