"ราคาทองคำ" ทุบ All Time High ใหม่หรือไม่! หลัง “พาวเวลล์” ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

สิ้นสุดการรอคอย ! หลังทั่วโลกต่างจับตาการประชุมสัมมนาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสันโฮล สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของ "เจอโรม พาวเวลล์" ประธานเฟด ในวันที่ 22 ส.ค. เวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทยได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากตลาดแรงงานมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ก็ตาม ทันใดนั้นราคาหุ้นและราคาพันธบัตรสหรัฐฯ เด้งรับข่าวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” จะได้รับอานิสงส์จากเรื่องดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน กลยุทธ์การลงทุน ปัจจัยบวกและลบที่ต้องติดตามเป็นอย่างไร ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก “วรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที โกลด์บูลเลี่ยน จำกัด มองว่า หลัง “พาวเวลล์” ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยราคาทอง Gold Spot ดีดปรับขึ้นมาแตะที่ระดับ 3,372 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมอยู่ที่ 3,328 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 44 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หนุนทองแท่งปรับขึ้น 200 บาท แตะที่ระดับราคา 51,650 บาท เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถ้าคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ของวันที่ 21 ส.ค. ทองแท่งจะอยู่ที่ 51,900 บาท หรือปรับขึ้น 450 บาท
ทั้งนี้คาดว่าทองคำจะจบช่วงขาลงและน่าจะเป็นขาขึ้น หลังราคาทองแท่งเคลื่อนไหวในระดับ 51,000-52,000 บาทมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนกว่า หลังตลาดรอฟังข่าวเฟดว่าจะลดดอกเบี้ยลงเมื่อไร ดังนั้นเมื่อ “พาวเวลล์” ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินตลาดจึงคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ และถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจริงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ตามคาดจะหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น แต่ถ้าไม่ลดในเดือนก.ย. ก็อาจจะลงในเดือนต.ค. และเดือนธ.ค.นี้
ทั้งนี้มองว่าทองคำมีโอกาสทำ All Time High ใหม่ ถ้าเฟดส่งสัญญาณชัดเจนในการปรับลดดอกเบี้ยลงในปลายปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ขณะที่ยูบีเอส (UBS) ซึ่งเป็น ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์และเป็น ธนาคารเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประเมินว่าราคาทอง Gold Spot มีโอกาสแตะ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปีนี้ จะส่งผลให้ราคาทองแท่งในประเทศแตะที่ 54,000 บาทปลาย ๆ โดยขึ้นกับค่าเงินบาทในช่วงนั้น ๆ ว่าจะอ่อนหรือแข็งค่า เนื่องจากได้ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอตัวทำให้มีการลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้การที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีกับทั่วโลกจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศ ซึ่งต้องรอดูว่าเฟดจะมีนโยบายการเงินอย่างไรต่อถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯไปไม่ไหว
ส่วนปัจจัยที่จะหนุนให้ทองคำฟื้นตัวคือ เฟดลดดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐ โดยมองว่าทองคำจะค่อย ๆ ฟื้นตัวไต่ขึ้นโดยจากสถิติในอดีตทองคำเติบโตเฉลี่ยปีละ 6-12% เป็นตัวบ่งชี้ว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยถือได้ แม้ไม่ได้วิ่งหวือหวา
ด้านกลยุทธ์การลงทุนถ้าหลุด 51,000-52,000 บาทให้ทยอยซื้อสะสม ประเมินแนวรับที่ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านที่ 3,400-3,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ฝั่ง “วรุต รุ่งขํา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด มองว่า การส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยของ “พาวเวลล์” จะทำให้ทองคำดีดปรับตัวขึ้น หลังจากราคาทองคำในช่วง 1ส.ค.-21 ส.ค.ที่ผ่านมาราคาทอง Gold Spot บวก 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งบวก 350 บาท โดยเงินบาทแข็งค่า 22 สต.ต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในเดือนก.ค. Gold Spot บวก 12ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งบวก 550 บาท โดยเงินบาทอ่อนค่า 30สต.ต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยแนวโน้มทองคำแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ ซึ่งสัปดาห์หน้าจะต้องติดตามจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE price index จะเป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และในสัปดาห์ถัดไปเป็นการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarms Payrolls) ซึ่งเป็นข้อมูลชุดสุดท้ายจะเอฟเฟกต์กับราคาทองคำ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่จะมีการประชุมในวันที่ 17 ก.ย.นี้
ทั้งนี้แม้ว่าข้อมูลตลาดแรงงานแย่ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจด้านอื่นไม่ได้แย่ ขณะที่ บทสรุปรายงานการประชุม Fed Minutes ต้องการคุมเข้มนโยบายการเงิน เนื่องจากกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งอยากให้เงินเฟ้อลงก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ผู้ว่าการเฟด 2 คน คือ มิเชล โบว์แมน และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% แต่พอถึงเวลาประชุม 2 คนนี้กลับออกเสียงไม่ให้ลดดอกเบี้ย ทำให้กระแสการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยผันผวน โดย FedWatch Tool คาดการณ์ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ จากเดิม 3 ครั้งคือในวันที่ 17 ก.ย.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% และในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ตลาดมีการประเมินว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐแย่-ดอลลาร์อ่อนอาจจะทำให้ทองคำปรับตัวขึ้นต่อ ขณะที่วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างโกลด์แมน แซคส์ ปรับเป้าหมายราคาทอง Gold Spot ไปแตะที่ระดับ 3,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และในปีหน้าจะทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองแท่งเฉลี่ยอยู่ที่ 57,000-61,600 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ทองคำได้แรงหนุนจากจีนนำเข้าทองคำจากเปรูเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่า
โดยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) เปรูส่งออกทองคำไปประเทศจีนมูลค่าประมาณ 947 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากในปี 67 ที่ผ่านมามีมูลค่าเพียง 885 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกทองคำไปทั่วโลกของเปรูช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 46% มีมูลค่า 8,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 67 ทั้งปีอยู่ที่ 10,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนตลาดโลกยังมีความต้องการทองคำสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันกระแสข่าวประธานาธิบดี “ทรัมป์” กดดัน นางลิซ่า คุก หนึ่งในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐลาออกจากตำแหน่ง จากข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงสินเชื่อ 2 รายการ ซึ่งการแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่เฟดอาจทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความกังวล และอาจถูก “ทรัมป์” เช็กบิลถ้าการทำงานไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการอาจทำให้มีการโหวตให้มีการลดดอกเบี้ย เพราะการแทรกแซงการทำงานของ “ทรัมป์” ตลาดมองว่าการทำงานของเฟดมีอิสระมากน้อยแค่ไหนอาจเห็นดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้กลุ่ม BRICS (บริกส์) เป็นกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เป็นเป้าหมายที่สหรัฐฯจะเล่นงานโดยขึ้นภาษีที่สูง เพื่อให้เศรษฐกิจโตจำกัด โดยเฉพาะอินเดียและจีน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจแต่เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ
ส่วนทิศทางทองคำในระยะกลางและยาวยังเป็นบวก แต่ในระยะสั้นอาจจะผันผวนบ้างจากข่าวต่างประเทศที่เกิดขึ้นทำให้มีผลกระทบ จากกระแสดอกเบี้ยของเฟดลดหรือไม่ลด ประเมินแนวรับที่ 3,280 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นจุดต่ำสุดในเดือนส.ค. และแนวรับถัดไปที่ 3,248 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นจุดต่ำสุดในเดือนมิ.ย. (รายสัปดาห์-รายเดือน) ถ้าไม่หลุดแนวรับดังกล่าวให้ทยอยสะสม ขณะที่ราคาทองแท่งอยู่ที่ 50,000- 50,500 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.50 บาทต่อดอลลารสหรัฐ
ส่วนแนวต้านแรกอยู่ที่ 3,409 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นจุดสูงสุดในเดือนส.ค. และแนะต้านถัดไปที่ 3,451 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นจุดสูงสุดในเดือนมิ.ย.ราคาทองแท่งอยู่ที่ 52,500-53,200 บาท
สำหรับทองคำในช่วง ม.ค.-ปัจจุบันเพิ่มขึ้น 720 ดอลลลาร์สหรัฐ หรือ 27.45% ทองแท่งขึ้น 9,100 บาท หรือเพิ่มขึ้น 21.46% โดยราคาในปีนี้ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมาเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งปีนี้ราคาทองทุบสถิติสูงสุด Gold Spot แตะ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งทะลุ 54,800 บาทในช่วงเดือนเม.ย.ที่ทรัปม์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก
นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนทองคำ ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ ในตลาดโลกที่ยังมีความผันผวนสูง ทั้งเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น การลงทุนต้องทำอย่างรอบคอบ และปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง.....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
