รีเซต

งานวิจัย Microsoft เผย 10 อาชีพ ที่อาจโดน AI แทนที่

งานวิจัย Microsoft เผย 10 อาชีพ ที่อาจโดน AI แทนที่
EntertainmentReport1
3 กันยายน 2568 ( 17:05 )
24

เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจจากกลุ่มนักวิจัยของ Microsoft ที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม arXiv ชื่องานวิจัยเรื่อง "Working with AI: Measuring the Occupational Implications of Generative AI" ซึ่งเป็นการศึกษาโดยนักวิจัยจาก Microsoft ที่ได้ทำการวิเคราะห์อย่างเจาะลึกถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่อสายอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของ AI เชิงกำเนิด (Generative AI) ซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานอย่างรวดเร็ว งานวิจัยนี้ไม่ได้เพียงแค่คาดเดา แต่ยังได้ทำการวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงเพื่อทำความเข้าใจว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานอย่างไรบ้าง

 

 

หัวใจของงานวิจัยนี้คือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากบทสนทนากว่า 200,000 รายการแบบไม่ระบุตัวตนของผู้ใช้งานระบบ Microsoft Bing Copilot ซึ่งเป็นระบบ AI เชิงกำเนิดที่เปิดให้ใช้งานสาธารณะ นักวิจัยได้จำแนกบทสนทนาเหล่านี้ออกเป็นกิจกรรมการทำงานต่างๆ ที่ผู้ใช้ต้องการให้ AI ช่วยเหลือ และในทางกลับกัน ก็ได้จำแนกว่า AI ทำกิจกรรมอะไรให้กับผู้ใช้บ้าง ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าการคาดการณ์จากทฤษฎีเพียงอย่างเดียว

จากผลการวิจัย นักวิจัยพบว่ากิจกรรมการทำงานที่ผู้คนใช้ AI ช่วยเหลือบ่อยที่สุดคือ “การรวบรวมข้อมูล” และ “การเขียน” ในขณะที่ตัว AI เองก็ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกันอย่างการ “ให้ข้อมูลและคำแนะนำ”, “การเขียน”, “การสอน” และ “การให้คำปรึกษา” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่ได้มอง AI เป็นคู่แข่ง แต่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ต้องทำซ้ำๆ และใช้เวลามาก

นักวิจัยได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “คะแนนความเหมาะสมของ AI (AI applicability score)” เพื่อวัดว่า AI สามารถเข้ามาช่วยในงานของแต่ละอาชีพได้มากน้อยเพียงใด โดยอิงจากการจัดประเภทกิจกรรมการทำงานที่ใช้ AI ซึ่งตรงกับข้อมูลอาชีพจากฐานข้อมูล O*NET ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล

ผลการวิเคราะห์พบว่า อาชีพในกลุ่ม “งานความรู้ (Knowledge Work)” อย่างนักวิทยาการคอมพิวเตอร์และนักคณิตศาสตร์ รวมถึงงานในกลุ่ม “งานธุรการและสำนักงาน” มีคะแนนความเหมาะสมของ AI สูงที่สุด นอกจากนี้ อาชีพอย่างพนักงานขายที่ต้องมีการให้ข้อมูลและการสื่อสารกับผู้อื่นก็มีคะแนนที่สูงเช่นกัน

 

 

จากข้อมูลการใช้งาน ผู้ใช้ระบุว่ากิจกรรมอย่างการรวบรวมข้อมูลและการเขียน เป็นกิจกรรมที่ AI สามารถทำได้สำเร็จและให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพอใจที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและเนื้อหาได้เป็นอย่างดี

ที่น่าสนใจคือจากงานวิจัยระบุว่ามี 10 อาชีพที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ที่อาจจะโดน AI เข้ามาแทนที่ โดยมีดังนี้

  1. ล่ามและนักแปล
  2. นักประวัติศาสตร์
  3. พนักงานบริการผู้โดยสาร
  4. พนักงานขาย
  5. นักเขียนและนักประพันธ์
  6. พนักงานดูแลลูกค้า
  7. โปรแกรมเมอร์ควบคุมเครื่องจักร (CNC)
  8. พนักงานรับสายโทรศัพท์
  9. พนักงานขายตั๋ว 
  10. ผู้ประกาศและจัดรายการวิทยุ

งานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ที่น่าตกใจคือ อาชีพที่มีค่าจ้างสูงกว่ามักจะมีคะแนนความเหมาะสมของ AI ที่สูงกว่าด้วย ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่างานที่มีรายได้สูงจะมีความปลอดภัยจาก AI มากกว่า แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเข้ามาแทนที่งานระดับล่าง แต่กำลังจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานระดับสูงที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางมากขึ้น

 

 

แต่อย่าเพิ่งตกใจนะครับ จากข้อมูลทั้งหมดนี้ เราควรเปลี่ยนมุมมองจากการที่ AI จะ "แย่งงาน" ไปสู่การที่ AI จะ "ยกระดับ" การทำงานของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น งานในอนาคตจะไม่ได้ถูกกำหนดด้วยว่า AI ทำอะไรได้บ้าง แต่จะถูกกำหนดด้วยว่ามนุษย์จะสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน

ในขณะที่ AI เข้ามาช่วยงานที่ต้องใช้ตรรกะและข้อมูล มนุษย์ยังคงมีจุดแข็งที่ AI ยังเลียนแบบได้ยาก นั่นคือ ทักษะด้านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, ความฉลาดทางอารมณ์, และความคิดสร้างสรรค์ ที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์

โดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงในโลกการทำงานกำลังเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับตัวและการเรียนรู้ที่จะใช้ AI ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเรา หากเราสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สร้างมูลค่าสูง และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราจะกลายเป็นผู้ที่ควบคุมเครื่องมือแห่งอนาคตนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ที่ถูกแทนที่โดยมันครับ

Photo Credit : AI Generated

ข่าวที่เกี่ยวข้อง