งานวิจัย Microsoft เผย 10 อาชีพ ที่อาจโดน AI แทนที่

เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจจากกลุ่มนักวิจัยของ Microsoft ที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม arXiv ชื่องานวิจัยเรื่อง "Working with AI: Measuring the Occupational Implications of Generative AI" ซึ่งเป็นการศึกษาโดยนักวิจัยจาก Microsoft ที่ได้ทำการวิเคราะห์อย่างเจาะลึกถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่อสายอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของ AI เชิงกำเนิด (Generative AI) ซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานอย่างรวดเร็ว งานวิจัยนี้ไม่ได้เพียงแค่คาดเดา แต่ยังได้ทำการวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงเพื่อทำความเข้าใจว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานอย่างไรบ้าง
หัวใจของงานวิจัยนี้คือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากบทสนทนากว่า 200,000 รายการแบบไม่ระบุตัวตนของผู้ใช้งานระบบ Microsoft Bing Copilot ซึ่งเป็นระบบ AI เชิงกำเนิดที่เปิดให้ใช้งานสาธารณะ นักวิจัยได้จำแนกบทสนทนาเหล่านี้ออกเป็นกิจกรรมการทำงานต่างๆ ที่ผู้ใช้ต้องการให้ AI ช่วยเหลือ และในทางกลับกัน ก็ได้จำแนกว่า AI ทำกิจกรรมอะไรให้กับผู้ใช้บ้าง ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าการคาดการณ์จากทฤษฎีเพียงอย่างเดียว
จากผลการวิจัย นักวิจัยพบว่ากิจกรรมการทำงานที่ผู้คนใช้ AI ช่วยเหลือบ่อยที่สุดคือ “การรวบรวมข้อมูล” และ “การเขียน” ในขณะที่ตัว AI เองก็ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกันอย่างการ “ให้ข้อมูลและคำแนะนำ”, “การเขียน”, “การสอน” และ “การให้คำปรึกษา” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่ได้มอง AI เป็นคู่แข่ง แต่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ต้องทำซ้ำๆ และใช้เวลามาก
นักวิจัยได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “คะแนนความเหมาะสมของ AI (AI applicability score)” เพื่อวัดว่า AI สามารถเข้ามาช่วยในงานของแต่ละอาชีพได้มากน้อยเพียงใด โดยอิงจากการจัดประเภทกิจกรรมการทำงานที่ใช้ AI ซึ่งตรงกับข้อมูลอาชีพจากฐานข้อมูล O*NET ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
ผลการวิเคราะห์พบว่า อาชีพในกลุ่ม “งานความรู้ (Knowledge Work)” อย่างนักวิทยาการคอมพิวเตอร์และนักคณิตศาสตร์ รวมถึงงานในกลุ่ม “งานธุรการและสำนักงาน” มีคะแนนความเหมาะสมของ AI สูงที่สุด นอกจากนี้ อาชีพอย่างพนักงานขายที่ต้องมีการให้ข้อมูลและการสื่อสารกับผู้อื่นก็มีคะแนนที่สูงเช่นกัน
จากข้อมูลการใช้งาน ผู้ใช้ระบุว่ากิจกรรมอย่างการรวบรวมข้อมูลและการเขียน เป็นกิจกรรมที่ AI สามารถทำได้สำเร็จและให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพอใจที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและเนื้อหาได้เป็นอย่างดี
ที่น่าสนใจคือจากงานวิจัยระบุว่ามี 10 อาชีพที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ที่อาจจะโดน AI เข้ามาแทนที่ โดยมีดังนี้
- ล่ามและนักแปล
- นักประวัติศาสตร์
- พนักงานบริการผู้โดยสาร
- พนักงานขาย
- นักเขียนและนักประพันธ์
- พนักงานดูแลลูกค้า
- โปรแกรมเมอร์ควบคุมเครื่องจักร (CNC)
- พนักงานรับสายโทรศัพท์
- พนักงานขายตั๋ว
- ผู้ประกาศและจัดรายการวิทยุ
งานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ที่น่าตกใจคือ อาชีพที่มีค่าจ้างสูงกว่ามักจะมีคะแนนความเหมาะสมของ AI ที่สูงกว่าด้วย ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่างานที่มีรายได้สูงจะมีความปลอดภัยจาก AI มากกว่า แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเข้ามาแทนที่งานระดับล่าง แต่กำลังจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานระดับสูงที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางมากขึ้น
แต่อย่าเพิ่งตกใจนะครับ จากข้อมูลทั้งหมดนี้ เราควรเปลี่ยนมุมมองจากการที่ AI จะ "แย่งงาน" ไปสู่การที่ AI จะ "ยกระดับ" การทำงานของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น งานในอนาคตจะไม่ได้ถูกกำหนดด้วยว่า AI ทำอะไรได้บ้าง แต่จะถูกกำหนดด้วยว่ามนุษย์จะสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีแค่ไหน
ในขณะที่ AI เข้ามาช่วยงานที่ต้องใช้ตรรกะและข้อมูล มนุษย์ยังคงมีจุดแข็งที่ AI ยังเลียนแบบได้ยาก นั่นคือ ทักษะด้านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, ความฉลาดทางอารมณ์, และความคิดสร้างสรรค์ ที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์
โดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงในโลกการทำงานกำลังเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับตัวและการเรียนรู้ที่จะใช้ AI ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเรา หากเราสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สร้างมูลค่าสูง และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราจะกลายเป็นผู้ที่ควบคุมเครื่องมือแห่งอนาคตนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ที่ถูกแทนที่โดยมันครับ
Photo Credit : AI Generated