รีเซต

น้ำตาลแฝง ความเครียด สองภัยเงียบกระตุ้น โรคเบาหวาน

น้ำตาลแฝง ความเครียด สองภัยเงียบกระตุ้น โรคเบาหวาน
TNN ช่อง16
10 พฤศจิกายน 2568 ( 16:09 )
19

ความเชื่อที่ว่าถ้า“ไม่ติดหวาน”ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน”นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไปเพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” ก็ได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตทั้งข้าวขนมปังหรือผลไม้บางชนิดที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกันโดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคนและมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คนที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวานจนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษาวันนี้ นพ.ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อศูนย์เบาหวานต่อมไร้ท่อและควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุตจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้พร้อมแนะการปรับพฤติกรรมเพื่อปิดสวิตช์ความเสี่ยงเบาหวานก่อนจะสายเกินไป

ไขข้อสงสัย ‘โรคเบาหวาน’คืออะไรมีกี่ประเภท

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือDM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานานเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานเมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอน้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกายนพ. ชาญวัฒน์ชวนตันติกมลอธิบายเพิ่มเติมว่า "โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่เบาหวานชนิดที่ 1เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อนทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิตเบาหวานชนิดที่ 2เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลินมักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียดต่อมาคือเบาหวานขณะตั้งครรภ์พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราวและสุดท้ายคือกลุ่มเบาหวานชนิดอื่นๆที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะเช่นความผิดปกติทางพันธุกรรมการใช้ยาบางชนิด (เช่นสเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน"

“น้ำตาลทราย” ไม่ใช่ผู้ร้ายเพียงคนเดียว ชวนเข้าใจ “น้ำตาลแฝง-วิถีชีวิตไม่ดี”ปัจจัยเร่งโรคเบาหวาน

การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียวแต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะในข้าวขาวน้ำผลไม้หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวาน อย่างมะม่วงและกล้วยนอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆได้แก่พ่อแม่เป็นเบาหวานภาวะอ้วนกินอาหารไม่สมดุลไม่ออกกำลังกายพักผ่อนน้อยและความเครียด

“ความเครียด”ภัยเงียบกระตุ้นเบาหวานที่หลายคนมองข้าม

ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวานเพราะเมื่อร่างกายเครียดสมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง“ฮอร์โมนความเครียด”เช่นคอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมาโดยฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้นๆหากมีความเครียดสะสมระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลินและอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้“ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม‘กินคลายเครียด’โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมันและอาจนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวมดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน” นพ. ชาญวัฒน์ชวนตันติกมลอธิบาย

รวมสัญญาณเตือนที่ต้องไปตรวจโรคเบาหวานด่วน

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล เล่าว่า“ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อยหิวน้ำบ่อยเหนื่อยง่ายน้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุแผลหายช้ามองเห็นภาพเบลอง่วงบ่อยหรือมีปัญหาสมาธิสั้นลงก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรองนอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวานอายุเกิน 35 ปีรวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรังนอนน้อยหรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”

“โรคเบาหวาน”ยิ่งตรวจพบไวยิ่งดูแลได้ง่าย

วิธีการตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c)ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG)เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้วแม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกายนพ. ชาญวัฒน์

ชวนตันติกมลอธิบายถึงวิธีรักษาว่า“หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจังเช่นลดน้ำหนักออกกำลังกายสม่ำเสมอและจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะโรคสงบ (Remission) ส่วนเบาหวานชนิดอื่นแพทย์จะดูแลตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างใกล้ชิด”

ปรับพฤติกรรม-ดูแลใจปิดสวิตช์โรคเบาหวาน

การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่ายๆจากปรับการกินโดยลดข้าวขาวขนมและเครื่องดื่มรสหวานเริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดีเพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลินรวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมงและผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบเมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลายระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลงทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาวที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี

“หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่าอยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปีกินและออกกำลังกายให้พอดีรู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลายก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราวแบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล กล่าวทิ้งท้าย 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง