รีเซต

ใครมีสิทธิบ้าง ประชาชน-ร้านค้า "คนละครึ่ง" พลัส 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจทั่วถึง-เท่าเทียม

ใครมีสิทธิบ้าง ประชาชน-ร้านค้า "คนละครึ่ง" พลัส 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจทั่วถึง-เท่าเทียม
TNN ช่อง16
3 ตุลาคม 2568 ( 10:06 )
11

ความหวังคนไทย คนละครึ่ง พลัส 2568  กระตุ้นเศรษฐกิจทั่วถึง-เท่าเทียม 


 โครงการ "คนละครึ่ง พลัส " คนละครึ่งพลัส ในปี 2568  ยุคของรัฐบาลนายกฯอนุทิน 


โดยมีไทม์ไลน์ออกมาแล้ว ดังนี้  

ประชาชนเริ่มลงทะเบียน :  วันที่ 20-26 ตุลาคม 2568  *จำกัดจำนวน 20 ล้านคน

เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ : วันที่ 29 ตุลาคม 2568 - ธันวาคม 2568 (ระยะเวลา 2 เดือน) 

ร้านค้าเริ่มลงทะเบียน : วันที่ 15 ตุลาคม 2568 (จนจบโครงการ) 

ช่องทางการลงทะเบียนและใช้งาน : ผ่านทางแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง"  


 ใครมีสิทธิบ้าง ?

"คนละครึ่ง" รัฐบาลแจกสิทธิ แบ่งรูปแบบเป็น 3 กลุ่ม รวม 33 ล้านคน 

เป็นคนไทย อายุ 16 ปีขึ้นไป 


1. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13 ล้านคน (โอนตรงไม่ต้องลงทะเบียน) 

ซึ่งจากเดิมให้อยู่แล้ว 300 บาท เติมเงินเพิ่มให้ 1,700 บาท รวมจะได้เงินทั้งหมด 2,000 บาท  


2. ผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี จำนวน 9 ล้านคน รับ 50:50

รัฐสมทบให้คนละ 2,000 บาท เติมเอง 2,000 บาท 


3. ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี(ยื่นภาษี) จำนวน 11 ล้านคน รับ 60:40

รัฐสมทบให้ 2,400 บาท เติมเอง 2,000 บาท 


สำหรับกลุ่มที่ 2 และ 3 ประชาชนจะใช้จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท  แต่หากใช้ไม่เงินหมดสามารถสะสมไปวันถัดไปได้ตลอดระยะเวลาโครงการ


เงื่อนไขของ "ร้านค้า" คนละครึ่งพลัส


กลุ่มร้านค้าที่มีสิทธิ ประกอบไปด้วย 

1. ร้านอาหาร-เครื่องดื่มทั่วไป

2. ผู้ประกอบการบริการ นวดสปา ทำผม ทำเล็บ 

3. บริการขนส่งสาธารณะ เช่น แท็กซี่ รถรับจ้าง ที่มีใบขับขี่รถสาธารณะ ผู้ประกอบการบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ


มีการขยายสิทธิให้ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น รอบนี้ได้เพิ่มให้ "นิติบุคคลขนาดเล็กรายย่อย" หรือ "ไมโครเอสเอ็มอี" สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีและมีตัวเลขรายได้กับทางกรมสรรพากร  แบ่งเป็น กลุ่มนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท จำนวน 3,000 ราย และกลุ่มนิติบุคคลที่มีรายได้ 1.8 ไม่เกิน 30 ล้านบาท จำนวน 2,000 ราย รวมทั้งหมดเป็น 5,000 ราย 


โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ย้ำว่า ได้กันงบประมาณปี 2569 เพื่อนำมาใช้ในโครงการนี้ไว้แล้ว เพื่อเร่งขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจ และในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการนำรายละเอียดโครงการเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี  ทั้งหมดนี้จะต้องใช้งบประมาณกว่า  60,000 ล้านบาท โดยมีทั้งการใช้วงเงินจากงบกลางฯ ปี 2568 ที่เหลืออยู่ และงบประมาณจากปี 2569 





แนวคิดปรับเพิ่มขยาย"ร้านค้า" ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ กระตุ้นเศรษฐกิจ 


นางฐนิวรรณ กุลมงคล" นายกสมาคมภัตตาคารไทย มองว่าโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นความหวังที่จะช่วย เพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารต่าง ๆ แต่การจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินให้ทั่วถึงกับภาคธุรกิจร้านอาหาร อาจต้องมีการปรับมาตรการให้ร้านอาหารทุกประเภทสามารถเช้าร่วมโครงการได้  โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมถึง ร้านค้าที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เข้าร่วมด้วย เพื่อเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าร่วมและรับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล กลับได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และส่งผลทำให้ยอดขายลดลงในช่วงโครงการคนละครึ่งในยุคแรกเริ่ม


รวมไปถึงความเห็นจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณ“พลอย-พอลลี่ เฮสันต์” เจ้าของร้านชาดังของไทย "เจี้ยนชา"  ที่ให้สัมภาษณ์กับทาง TNN WEALTH ระบุว่า มาตรการของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม ย่อมเป็นผลดีกับทุกฝ่าย และสำหรับโครงการคนละครึ่งที่กำลังจะขึ้น หากรัฐบาลเปิดโอกาสขยายสิทธิให้ร้านค้าใหญ่หรือร้านจดทะเบียน VAT สามารถเข้าร่วมได้ เธอก็จะนำเจี้ยนชาเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งด้วยอย่างแน่นอน พร้อมเชื่อด้วยว่าจะมีลูกค้ามาอุดหนุนสินค้าของเธอมากขึ้นผ่านโครงการนี้ และมองว่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสร้างความคึกคักให้กับตลาดอาหารและเครื่องดื่มของไทย ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน  


สอดคล้องกับมุมมองจาก นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษาสมาคมโฮสเทล ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ TNN ระบุว่า การขยายโครงการไปยังร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีถือเป็นเรื่องที่ถูกทาง เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจทั้งต่อรัฐและประชาชนผู้ใช้สิทธิ เนื่องจากร้านที่เข้าร่วมจะต้องมีเอกสารทางภาษีและการดำเนินธุรกิจที่ตรวจสอบได้ ทำให้ระบบการใช้จ่ายในโครงการโปร่งใสกว่าเดิม และยังช่วยปิดช่องโหว่การทุจริตหรือการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง


นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากรองศาสตราจารย์ ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการคนละครึ่ง พบว่าโครงการคนละครึ่งในยุคพลเอกประยุทธ์ ช่วยดันยอดขายร้านค้ารายย่อยพุ่งถึง 174% และยังช่วยสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ  แต่ในทางกลับกันปรากฎว่าร้านค้าที่ไม่ร่วมโครงการกลับได้รับผลกระทบในทางลบ เพราะผู้บริโภคลดการใช้จ่ายนอกโครงการถึง 41%


ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าปัจจุบันมีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลมากถึง 2,008,668 ราย และมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ถึง 959,099 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)  หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30% ของผู้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทย  และมีข้อมูลการจัดเก็บ VAT เมื่อปี 2567 สูงถึงระดับ 947,000 ล้านบาท  


ธุรกิจรายย่อยที่เสียภาษีให้กับรัฐในทุกปีเต็มเม็ดเต็มหน่อย จึงถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะเป็นทั้งผู้เสียภาษีในระบบ ทำให้เกิดการจ้างงาน ส่งผลต่อการหมุนเวียนเงินในระบบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐเองก็รีดรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat จากการขายสินค้าของร้านค้ากลุ่มนี้โดยตลอดมา


รวมไปถึง Modern Trade ที่ไม่ได้เข้าร่วมในอดีต ก็เป็นช่องทางขายสินค้าให้ SMEs และเป็นกำลังสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ คิดเป็น 20-25% ของ GDP ไทย  ซึ่งรายได้เหล่านี้ได้กระจายกลับเข้าสู่ชุมชนปีละหลายหมื่นล้านบาท พร้อมระบบ POD, e-Tax และ Data Analytics ที่รองรับการตรวจสอบแบบ Real Time ทำให้การใช้จ่ายภายใต้กลุ่มใหญ่เหล่านี้ ยังมั่นใจได้ด้วยว่า เม็ดเงินจะไม่ตกหล่น เพราะมีระบบเป็นมาตรฐานมืออาชีพ ซึ่งในคนละครึ่งยุค 1.0 เคยเจอปัญหาร้านทุจริตเป็นจำนวนมากมาแล้ว  


ภายใต้ช่วงเวลาของเศรษฐกิจที่มีความท้าทายวันนี้ “คนละครึ่งพลัส” ควรเป็น เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สร้างความเข้มแข็งให้ทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้การลงทุนของรัฐ กับเม็ดเงินงบประมาณ 6 หมื่นล้านบาทที่ลงไป ต้องคุ้มค่ากับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวมากที่สุด 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง