รีเซต

เขื่อนป่าสักฯ เหลือน้ำเพียง 15% เปิดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกร-เศรษฐกิจช้ำ

เขื่อนป่าสักฯ เหลือน้ำเพียง 15% เปิดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกร-เศรษฐกิจช้ำ
TNN ช่อง16
5 พฤษภาคม 2567 ( 10:40 )
13
เขื่อนป่าสักฯ เหลือน้ำเพียง 15% เปิดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกร-เศรษฐกิจช้ำ

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เผชิญวิกฤตภัยแล้ง น้ำเหลือเพียง 15% ของความจุ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมและเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ เกษตรกรขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูก ต้องสูบน้ำบาดาลมาใช้ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ผลผลิตทางการเกษตรลดลง โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และพืชผักผลไม้ บางรายต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ส่งผลให้รายได้ลดลง


เขื่อนป่าสัก: จุดเสี่ยงลุ่มเจ้าพระยา! น้ำน้อย แล้งซ้ำ น้ำมาก น้ำท่วม


เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมและบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำป่าสักและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ หากปริมาณน้ำในเขื่อนมีน้อยเกินไป จะส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย ผลผลิตทางการเกษตรลดลง และกระทบต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน รวมถึงอาจส่งผลให้เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรน้ำในพื้นที่


ในทางตรงกันข้าม หากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำมากเกินไปในช่วงฤดูน้ำหลาก ก็อาจทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำ รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ หากเกิดอุทกภัยขึ้นจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน


ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้มีปริมาณที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การควบคุมการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยลดผลกระทบและสร้างความมั่นคงให้กับภาคเกษตรกรรมและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ


ภัยแล้งซ้ำซาก: บทเรียนซ้ำๆ


ปัญหาภัยแล้งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาชะลอตัวอย่างหนัก เมื่อเกษตรกรขาดแคลนน้ำในการทำนา ทำสวน ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ เมื่อผลผลิตข้าวลดลง ย่อมส่งผลต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น โรงสีข้าว ที่ต้องลดกำลังการผลิตลง หรือต้องปิดกิจการชั่วคราว เนื่องจากขาดวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงาน 


นอกจากนี้ ร้านค้าในชุมชนที่พึ่งพารายได้จากการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรในพื้นที่ ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากกำลังซื้อของเกษตรกรที่ลดลง เนื่องจากขาดรายได้จากการขายผลผลิต ทำให้การจับจ่ายใช้สอยในชุมชนลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออาชีพอื่นๆ ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้า พ่อค้า ช่างซ่อม เป็นต้น ที่พึ่งพารายได้จากการใช้จ่ายของเกษตรกร


ในส่วนของผู้บริโภค ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าว ก็ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ โดยเฉพาะครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านอาหารสูง เมื่อราคาข้าวแพงขึ้น ก็ย่อมกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายในสินค้าและบริการด้านอื่นๆ ตามมา


เมื่อย้อนดูในอดีต เราจะพบว่าภัยแล้งครั้งใหญ่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2558 ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลงกว่า 40% ราคาข้าวหอมมะลิพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เกษตรกรจำนวนมากต้องอพยพเข้าเมืองเพื่อหางานทำ หรือไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชน


ในปี 2548 ประเทศไทยก็เคยประสบภาวะภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำกว่า 8 ล้านคน ขณะที่พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายกว่า 5.5 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท


จะเห็นได้ว่า ภัยแล้งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในแต่ละปี ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้างทั้งสิ้น ดังนั้น การแก้ไขปัญหาภัยแล้งจึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อลดผลกระทบและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับภาคเกษตรและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว


แนวทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ประหยัดน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำ ร่วมมือทุกภาคส่วน


แนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ การหาแหล่งน้ำสำรอง เช่น น้ำใต้ดิน น้ำฝน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบชลประทาน การปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยและทนแล้ง นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบปัญหา เช่น การให้เงินช่วยเหลือ และการประกันราคาสินค้าเกษตร


สถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง


ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 พบว่าปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณรวม 41,458 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 54% ของความจุ โดยเป็นปริมาตรน้ำใช้การได้ 17,516 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นเพียง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พบว่าปริมาณน้ำลดลง 2,286 ล้าน ลบ.ม.


นอกจากนี้ยังพบว่ามีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ถึง 16 แห่งที่มีปริมาตรน้ำใช้การน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30% ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ กิ่วคอหมา แควน้อยบำรุงแดน แม่มอก น้ำพุง จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ ลำตะคอง สิรินธร ป่าสักชลสิทธิ์ กระเสียว ขุนด่านปราการชล คลองสียัด พบพระ และปราณบุรี สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้


อนาคต ลุ่มเจ้าพระยา เสี่ยงขาดแคลนน้ำ


แนวโน้มวิกฤตภัยแล้งในอนาคต มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนกลับมีแนวโน้มลดลง หากไม่มีมาตรการรับมือและแก้ไขอย่างเป็นระบบ วิกฤตภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและเศรษฐกิจในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม


ดังนั้น ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนในการวางแผนและดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างบูรณาการ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มเติม การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนไปสู่การเกษตรแบบประหยัดน้ำ การพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้และปลูกจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการใช้น้ำและปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด อันจะนำไปสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนของภาคเกษตรและเศรษฐกิจในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและของประเทศในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง