รีเซต

เช็กตัวเองก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วย 6 กลุ่มฉีดได้ทันที 6 กลุ่มต้องระวัง

เช็กตัวเองก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วย 6 กลุ่มฉีดได้ทันที 6 กลุ่มต้องระวัง
TNN ช่อง16
1 มิถุนายน 2564 ( 07:47 )
76

วันนี้ (1 มิ.ย.64) ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการแนวทางเวชปฏิบัติและจัดการความรู้ร่วมกับสมาคมวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ทางอายุรศาสตร์ 

ประชุมจัดทำแนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการให้วัคซีนได้ถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน ประกอบด้วย

ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้ 

1. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งอยู่ในภาวะคงที่ เช่น 

- โรคความดันเลือดสูงหรือโรคเบาหวานซึ่งไม่มีภาวะวิกฤต แม้ยังควบคุมระดับความดันเลือดหรือระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ได้ตามเป้าหมาย  

- โรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ  

- โรคระบบทางเดินอาหารและตับ  

- โรคติดเชื้อเอชไอวี 

- โรคข้ออักเสบ/โรคแพ้ภูมิตัวเอง  

- โรคสะเก็ดเงิน  

- โรคภูมิแพ้  

- ภาวะสมองเสื่อม  

- อัมพาต อัมพฤกษ์  

- โรคไตเรื้อรัง 

- ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง 

- โรคหืด/ปอดอุดกั้นเรื้อรัง  

- ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)  

- ไขกระดูกทำงานผิดปกติ (MDS หรือ MPN)  

- โรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา และโรคมะเร็งอื่น 

2. ผู้ป่วยที่ได้รับหรืออยู่ระหว่างได้รับการบำบัดด้วยยาและวิธีการต่าง ๆ เช่น  

- เคมีบำบัด รังสีรักษา  

- การบำบัดทดแทนไต  

- ยากดภูมิคุ้มกันที่อาการของโรคสงบ 

- เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดทุกชนิด  

- อิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ  

- ยาสูดสเตียรอยด์  

- ยาควบคุมอาการของโรคต่าง 

3. ผู้ป่วยที่เลือดออกง่าย 

- โรคเลือดออกง่าย  

- เกล็ดเลือดต่ำหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ 

- ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วาร์ฟาริน (เช่น aspirin, clopidogrel, ticagrelor,  prasugrel)  

- ได้รับยาวาร์ฟารินต้านการแข็งตัวของเลือด  

- กรณีมีผลตรวจระดับ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาและไม่จำเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน 

รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วย น้ำแข็งหรือเจลเย็น 

4. บุคคลที่มีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยาต่างๆ 

5. ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ (เช่น ผู้ป่วยสมอง เสื่อม ผู้ป่วยติดเตียง) ควรให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รับทราบข้อมูลและตัดสินใจแทน 

6. ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว


บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม 

1. บุคคลที่มีประวัติแอนาฟิแล็กซิสจากวัคซีนอื่นมาก่อน แนะนำให้ตรวจสอบส่วนประกอบของวัคซีนที่ผู้ป่วยเคยแพ้ และให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิดที่ไม่มีส่วนประกอบเดียวกันกับวัคซีนที่เคยแพ้ได้ทันที 

2. ผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่เสถียรหรือยังมีอาการ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต (life-threatening) เช่น

- ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)  

- ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute decompensated heart failure)

- โรคความดันเลือดสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency)  

- โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke) โรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง/โรคหืดที่มีอาการกำเริบ (acute  exacerbation of COPD/asthma)  

- ผู้ป่วยหลังรับการผ่าตัด แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีเมื่อควบคุมอาการได้คงที่แล้วหรือก่อนจำหน่ายกลับ 


3. ผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แนะนำให้รอจนกระทั่งพ้นช่วงที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรงแล้วรีบจัดให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลเกิน 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร

4. ผู้ป่วยโรคเลือดซึ่งได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ ต้นกำเนิด (stem cells) หรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลัง ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell  

5. ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต ตับ ปอด  หัวใจ แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือน หลังผ่าตัดและมีอาการคงที่แล้ว หรือเมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับการรักษาภาวะปฏิเสธอวัยวะ โดยให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน 

6. ผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยแอนติบอดี (antibody  therapy) หรือได้รับยาแอนติบอดี (antibody drugs: -mab)  แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ดังนี้ 

- ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เคยได้รับการบำบัดด้วยพลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโควิด 19 (convalescent plasma  containing anti-SARS-CoV-2 antibodies) หรือ monoclonal antibodies for treatment of COVID-19  (casirivimab & imdevimab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังได้รับการบำบัดดังกล่าว

- ผู้ป่วยที่ได้รับยา rituximab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับยาดังกล่าว หรือก่อนให้ยา rituximab ครั้งแรกอย่างน้อย 14 วัน 

- ผู้ป่วยที่ได้รับยาแอนติบอดีขนานอื่น (เช่น omalizumab,  benralizumab, dupilumab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 7 วันก่อนหรือหลังได้รับยาดังกล่าว

บุคคลผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด  

- สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม  รวมทั้งชา/กาแฟ ยาต่าง ๆ ตลอดจนทำหน้าที่การงานที่เคยทำปกติได้ และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยทำปกติ หรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1-2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน  

- ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่น เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลา แต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน  

- ในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1  สัปดาห์


ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มที่ https://is.gd/LMchf5

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง