เช็กตัวเองก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วย 6 กลุ่มฉีดได้ทันที 6 กลุ่มต้องระวัง
วันนี้ (1 มิ.ย.64) ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการแนวทางเวชปฏิบัติและจัดการความรู้ร่วมกับสมาคมวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ทางอายุรศาสตร์
ประชุมจัดทำแนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการให้วัคซีนได้ถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน ประกอบด้วย
ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้
1. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งอยู่ในภาวะคงที่ เช่น
- โรคความดันเลือดสูงหรือโรคเบาหวานซึ่งไม่มีภาวะวิกฤต แม้ยังควบคุมระดับความดันเลือดหรือระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ได้ตามเป้าหมาย
- โรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ
- โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
- โรคติดเชื้อเอชไอวี
- โรคข้ออักเสบ/โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- โรคสะเก็ดเงิน
- โรคภูมิแพ้
- ภาวะสมองเสื่อม
- อัมพาต อัมพฤกษ์
- โรคไตเรื้อรัง
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง
- โรคหืด/ปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)
- ไขกระดูกทำงานผิดปกติ (MDS หรือ MPN)
- โรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา และโรคมะเร็งอื่น
2. ผู้ป่วยที่ได้รับหรืออยู่ระหว่างได้รับการบำบัดด้วยยาและวิธีการต่าง ๆ เช่น
- เคมีบำบัด รังสีรักษา
- การบำบัดทดแทนไต
- ยากดภูมิคุ้มกันที่อาการของโรคสงบ
- เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดทุกชนิด
- อิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ
- ยาสูดสเตียรอยด์
- ยาควบคุมอาการของโรคต่าง
3. ผู้ป่วยที่เลือดออกง่าย
- โรคเลือดออกง่าย
- เกล็ดเลือดต่ำหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ
- ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วาร์ฟาริน (เช่น aspirin, clopidogrel, ticagrelor, prasugrel)
- ได้รับยาวาร์ฟารินต้านการแข็งตัวของเลือด
- กรณีมีผลตรวจระดับ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาและไม่จำเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน
รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วย น้ำแข็งหรือเจลเย็น
4. บุคคลที่มีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยาต่างๆ
5. ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ (เช่น ผู้ป่วยสมอง เสื่อม ผู้ป่วยติดเตียง) ควรให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รับทราบข้อมูลและตัดสินใจแทน
6. ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม
1. บุคคลที่มีประวัติแอนาฟิแล็กซิสจากวัคซีนอื่นมาก่อน แนะนำให้ตรวจสอบส่วนประกอบของวัคซีนที่ผู้ป่วยเคยแพ้ และให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิดที่ไม่มีส่วนประกอบเดียวกันกับวัคซีนที่เคยแพ้ได้ทันที
2. ผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่เสถียรหรือยังมีอาการ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต (life-threatening) เช่น
- ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)
- ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute decompensated heart failure)
- โรคความดันเลือดสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency)
- โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke) โรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง/โรคหืดที่มีอาการกำเริบ (acute exacerbation of COPD/asthma)
- ผู้ป่วยหลังรับการผ่าตัด แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีเมื่อควบคุมอาการได้คงที่แล้วหรือก่อนจำหน่ายกลับ
3. ผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แนะนำให้รอจนกระทั่งพ้นช่วงที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรงแล้วรีบจัดให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลเกิน 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร
4. ผู้ป่วยโรคเลือดซึ่งได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ ต้นกำเนิด (stem cells) หรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลัง ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell
5. ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต ตับ ปอด หัวใจ แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือน หลังผ่าตัดและมีอาการคงที่แล้ว หรือเมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับการรักษาภาวะปฏิเสธอวัยวะ โดยให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน
6. ผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยแอนติบอดี (antibody therapy) หรือได้รับยาแอนติบอดี (antibody drugs: -mab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ดังนี้
- ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เคยได้รับการบำบัดด้วยพลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโควิด 19 (convalescent plasma containing anti-SARS-CoV-2 antibodies) หรือ monoclonal antibodies for treatment of COVID-19 (casirivimab & imdevimab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังได้รับการบำบัดดังกล่าว
- ผู้ป่วยที่ได้รับยา rituximab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับยาดังกล่าว หรือก่อนให้ยา rituximab ครั้งแรกอย่างน้อย 14 วัน
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาแอนติบอดีขนานอื่น (เช่น omalizumab, benralizumab, dupilumab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 7 วันก่อนหรือหลังได้รับยาดังกล่าว
บุคคลผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด
- สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งชา/กาแฟ ยาต่าง ๆ ตลอดจนทำหน้าที่การงานที่เคยทำปกติได้ และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยทำปกติ หรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1-2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน
- ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่น เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลา แต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน
- ในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มที่ https://is.gd/LMchf5