อหิวาต์ระบาดชายแดน บทเรียนจากอดีตถึงปัจจุบัน เมื่อโรคร้ายไม่เคยรู้จักพรมแดน
อหิวาต์ระบาดชายแดน บทเรียนจากอดีตถึงปัจจุบัน เมื่อโรคร้ายไม่เคยรู้จักพรมแดน
สถานการณ์อหิวาตกโรคที่กำลังระบาดในเมืองฉเวโก๊กโก๋ จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา กำลังสร้างความวิตกให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทย โดยเฉพาะในจังหวัดตากที่มีพรมแดนติดกัน ตัวเลขผู้ป่วยที่พุ่งสูงถึง 300 ราย เสียชีวิตแล้ว 3 ราย และมีผู้ป่วยอาการหนักอีก 56 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของการระบาดครั้งนี้
อหิวาตกโรคไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย ย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2363 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตประชาชนในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงถึงสามหมื่นคน ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตราวหนึ่งแสนคน การระบาดครั้งนั้นเริ่มจากอินเดีย แพร่เข้าสู่สยามผ่านทางปีนัง จนมาถึงสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ. 2392 เกิดการระบาดครั้งใหญ่อีกครั้ง เรียกว่า "ห่าลงปีระกา" มีผู้เสียชีวิตถึง 40,000 คน
ที่น่ากังวลในปัจจุบัน คือการพบผู้ป่วยรายแรกในฝั่งไทยที่อำเภอแม่สอดแล้ว 2 ราย รายแรกเป็นชายไทยวัย 29 ปี ที่ติดเชื้อหลังรับประทานอาหารร่วมกับญาติจากเมียวดีที่มาเยี่ยมภรรยาซึ่งเพิ่งคลอดบุตร ส่วนรายที่สองเป็นหญิงวัย 39 ปี ที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการระบาดได้ข้ามพรมแดนมาถึงไทยแล้ว
สาเหตุของการระบาดครั้งนี้ไม่ต่างจากในอดีต คือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแพร่เชื้อ ทั้งการขับถ่ายที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การจัดการขยะและซากสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐาน จนเกิดแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรค รวมถึงการขาดแคลนน้ำสะอาดและระบบสาธารณสุขที่ยังไม่เข้มแข็งพอ
แต่สิ่งที่แตกต่างจากอดีตคือการรับมือของภาครัฐ จากสมัยรัชกาลที่ 2 ที่ใช้วิธีประกอบพระราชพิธีอาพาธพินาศเพื่อขับไล่โรคร้าย มาสู่การพัฒนาระบบการแพทย์สมัยใหม่ในรัชกาลที่ 5 ที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลเอกเทศถึง 48 แห่งในกรุงเทพฯ จนพัฒนามาเป็นโรงศิริราชพยาบาลในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน ทางการไทยได้ตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการประกาศมาตรการเข้มงวด งดการเดินทางข้ามแดนเป็นเวลา 1 เดือน พร้อมทั้งส่งความช่วยเหลือด้านยาและเวชภัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลในเมียนมา มีการยกระดับการเฝ้าระวังในพื้นที่ชายแดน ตรวจสอบร้านอาหาร แหล่งน้ำดื่ม และรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั้งภาษาไทยและเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการควบคุมการข้ามแดน เพราะพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมามีการไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิด การห้ามข้ามแดนอาจช่วยชะลอการระบาด แต่ก็ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ ขณะที่การลักลอบข้ามแดนก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก
บทเรียนจากประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า อหิวาตกโรคสามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยที่ดีและระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ แต่ความท้าทายในปัจจุบันอยู่ที่การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการยกระดับระบบสาธารณสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ภาพ Freepik