ย้อนรอยวิกฤต หนองจาน หนองหญ้าแก้ว ก่อนครบเส้นตายทวงคืนอธิปไตย

วิกฤตหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว เป็นบทพิสูจน์ของประวัติศาสตร์ที่ยังไม่จบสิ้น จากค่ายผู้อพยพในยุคสงครามเย็น สู่พื้นที่พิพาทซึ่งกลายเป็นความซับซ้อนของอธิปไตยและความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 40 ปี ดินแดนที่เคยเปิดรับผู้ลี้ภัยกลับกลายเป็นแนวรบทางการทูต ในศตวรรษที่ 21 เมื่อเส้นแบ่งบนแผนที่ถูกตีความต่างกันโดยสองรัฐบาลและผู้คนสองฝั่งชายแดน
จากค่ายผู้อพยพสู่ชุมชนทับซ้อน
บ้านหนองจานเคยเป็น “ค่ายผู้ลี้ภัยหนองจาน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แคมป์ 511” ตั้งขึ้นราวปี 2518 เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่หนีสงครามและความอดอยาก หลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดงในปี 2522 มีผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามามากกว่า 13,000 คน ค่ายแห่งนี้จึงกลายเป็นพื้นที่มนุษยธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชายแดนสระแก้ว
แต่ความปลอดภัยในค่ายกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อกลุ่มติดอาวุธจากกัมพูชาและเวียดนามเปิดฉากโจมตีหลายครั้งในช่วงปี 2523–2529 เหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2527 กองทัพเวียดนามบุกเข้าทำลายค่าย ทำให้พลเรือนกว่า 20,000 คนต้องอพยพอีกครั้ง และกระจัดกระจายไปยังค่ายต่าง ๆ เช่น ค่ายเขาอีด่างและสระแก้ว 2
หลังสงครามสงบลง บางส่วนกลับประเทศ แต่มีอีกหลายพันคนที่ยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นตอของข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์และเส้นเขตแดนในเวลาต่อมา
นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”
เข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษ 2530 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน แต่ก็เปิดทางให้เกิดการตั้งถิ่นฐานถาวรของชาวกัมพูชาที่เคยเป็นผู้อพยพในฝั่งไทย
หลายครอบครัวยังคงใช้พื้นที่ทำกินเดิม จนเมื่อไทยสร้างแนวรั้วลวดหนามขึ้นใหม่ ฝั่งกัมพูชากลับอ้างสิทธิ์ในพื้นที่นั้น ทำให้เกิดการทับซ้อนของเส้นเขตแดนที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้จนถึงปัจจุบัน
ความขัดแย้งในยุคใหม่
ปี 2543 ไทยและกัมพูชาลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อใช้เป็นกรอบบริหารจัดการแนวเขต แต่ในทางปฏิบัติ กัมพูชามีการสร้างบ้านเรือนและที่ทำการหน่วยราชการล้ำเข้ามาในเขตที่ไทยถือสิทธิ์ และมีการชักธงชาติกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งฝ่ายไทยมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง
กระทั่งในเดือนกันยายน 2568 ความตึงเครียดปะทุอีกครั้ง
วันที่ 16 กันยายน ชาวกัมพูชาราว 70 คน รื้อแนวลวดหนามชายแดนและกล่าวอ้างว่าพื้นที่เป็นของตน
วันที่ 17 กันยายน เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนไทยกับกลุ่มชาวกัมพูชา มีการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมสถานการณ์
วันที่ 20–21 กันยายน กลุ่มชาวกัมพูชาราว 200 คนรวมตัวใกล้หลักเขตแดนที่ 46 ถือไม้และอุปกรณ์ป้องกันตัว เตรียมพร้อมรับมือฝ่ายไทย
เหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นชนวนให้รัฐบาลไทยต้องเร่งเปิดโต๊ะหารือระดับสูงผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)
การประชุม GBC และการตั้งเส้นตาย
การประชุม GBC ไทย–กัมพูชา จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7–10 กันยายน 2568 ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา มีการตกลง 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในแนวชายแดน
การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์
การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะบ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว
การกำหนดกรอบเวลาตอบสนองต่อเหตุปะทะและการประท้วง
ภายหลังการประชุม ฝ่ายไทยประกาศเส้นตายให้ผู้รุกล้ำอพยพออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2568 พร้อมแจ้งแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ IOT เพื่อสร้างความปลอดภัยก่อนเข้าสู่การเจรจารอบใหม่
ผลกระทบต่อคนไทยในพื้นที่
ชาวบ้านไทยกว่า 52 ราย ถือครองที่ดินรวม 2,717 ไร่ 1 งาน พร้อมเอกสารสิทธิ์ ส.ค.1 และ น.ส.3 ถูกจำกัดสิทธิ์ในการเข้าใช้พื้นที่ทำกิน บางรายถูกข่มขู่โดยทหารกัมพูชา บางรายถึงขั้นต้องเช่าที่ดินของตนเองกลับจากผู้บุกรุก ปัญหายืดเยื้อนี้ดำเนินมานานกว่า 40 ปี ทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้และความมั่นคงในชีวิต
เส้นตาย 10 ตุลาคม 2568
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อประเมินสถานการณ์ชายแดน มีรัฐมนตรีด้านต่างประเทศ กลาโหม และยุติธรรมเข้าร่วมครบถ้วน ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 1 ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติภาคสนาม
กองกำลังบูรพาตรึงกำลังเต็มรูปแบบ เจ้าหน้าที่เริ่มเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแผนงาน และมีคณะผู้สังเกตการณ์ IOT ลงตรวจสอบความสงบเรียบร้อย ฝ่ายไทยยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชน
แต่ในทางปฏิบัติ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และมีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมากตามแนวรั้วชายแดน ทำให้บรรยากาศในวันเส้นตายยังคงตึงเครียด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
