รีเซต

นักวิจัย MIT เผยใช้ ChatGPT แล้วสมองฝ่อ ? หลังพบสมองคิดน้อยลง หลงลืมสิ่งที่เขียน เสี่ยงเรียนรู้ช้าถาวร

นักวิจัย MIT เผยใช้ ChatGPT แล้วสมองฝ่อ ? หลังพบสมองคิดน้อยลง หลงลืมสิ่งที่เขียน เสี่ยงเรียนรู้ช้าถาวร
TNN ช่อง16
18 มิถุนายน 2568 ( 16:12 )
9

ทีมวิจัยจาก MIT ในสหรัฐอเมริกา ศึกษาวิจัยและพบว่า ผู้ที่ใช้แชตจีพีที (ChatGPT) หรือผู้ช่วย AI ชื่อดังในการเขียนเรียงความ (Essay) บ่อยครั้งอาจจะส่งผลต่อความสามารถในการจดจำ เช่น ไม่สามารถจดจำข้อความในเรียงความที่ตัวเองเขียนได้ และมีการทำงานของสมองน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของสมองในระยะยาวได้

กระบวนการวิจัยที่เผยว่าใช้ AI บ่อยอาจทำให้สมองฝ่อ

งานวิจัยนี้เป็นผลงานการศึกษาของทีมวิจัยจาก MIT Media Lab กลุ่มวิจัยชื่อดังของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ เอ็มไอที (MIT: Massachusetts Institute of Technology) ได้ทดลองการทำงานของสมองกับอาสาสมัครทดลอง 54 คน อายุระหว่าง 18-39 ปี จากพื้นที่ในเมืองบอสตัน (Boston) เพื่อทดสอบเขียนเรียงความตามมาตรฐาน SAT (มาตรฐานการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ) โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่เขียนเรียงความด้วยแชตจีพีที (ChatGPT) กลุ่มที่ใช้เว็บไซต์หาข้อมูล เช่น กูเกิล (Google’s search engine) และกลุ่มที่ใช้แค่สมองในการคิดเรียงความเท่านั้น 

อาสาสมัครทั้ง 3 กลุ่ม จะได้รับการติดตั้งเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG (Electroencephalography) เพื่อดูการทำงานของสมองตลอดระยะเวลาการทดลอง จากนั้นทั้ง 3 กลุ่ม จะเริ่มทำการทดลองด้วยการเขียนเรียงความ 4 รอบ เป็นเวลา 20 นาที เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ EEG ระหว่างทดสอบ

ทั้งนี้ ทีมวิจัยใช้กระบวนการที่เรียกว่า NLP (Natural Language Processing) ซึ่งเป็น AI รูปแบบหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านภาษามาช่วยวิเคราะห์บทความร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญภาษาที่เป็นมนุษย์ เพื่อดูว่าลักษณะการเขียน รวมถึงใจความสำคัญ และทักษะการเขียนเป็นอย่างไร

จากนั้น ผู้ทดลองจะตอบคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเขียงเรียงความ เช่น การให้ผู้ทดลองดูข้อความบางส่วนจากบทความที่ตัวเองเขียนเพื่อดูว่าผู้ทดลองสามารถจำได้หรือไม่ รวมถึงถามว่าบทความที่ทีมวิจัยแสดงให้ดูนั้นเป็นของผู้เขียนจริงหรือไม่ (Ownership)

ผลการวิจัย

โดยผลการทดสอบปรากฎว่า กลุ่มผู้ทดลองที่ใช้ ChatGPT ในการเขียนเรียงความ ประสบปัญหาการจดจำข้อความจากบทความที่ตัวเองเขียน ต่างจากกลุ่มทดลองที่ใช้เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์และใช้แค่ความคิดตัวเอง ที่ยังสามารถจดจำข้อความจากบทความของตนได้ 

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ทดลองที่ใช้ ChatGPT ยังเป็นกลุ่มที่ไม่มั่นใจในความเป็นเจ้าของเรียงความของตัวเองมากที่สุด ต่างจากกลุ่มที่ใช้เพียงแค่สมองในการคิดเพื่อเขียนเรียงความซึ่งมั่นใจในความเป็นเจ้าของเรียงความทุกคน

ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์ผลจากเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าสมองยังพบว่า ค่า dDTF (dynamic Direct Transfer Function) ซึ่งเป็นค่าประมาณสำหรับการสังเกตการเชื่อมต่อและการทำงานของสมองในกลุ่มทดลองที่ใช้ ChatGPT นั้นต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ 

และการวิเคราะห์เชิงกลุ่มคำของภาษา (NER: Named-entity recognition) ที่ได้จาก NLP และผู้เชี่ยวชาญพบว่า เรียงความจากกลุ่มทดลองที่ใช้ ChatGPT ขาดความหลากหลายเมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ใช้เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์และสมองในการคิดเรียงความขึ้นมา

หรือสรุปแล้ว ในงานวิจัยดังกล่าวนั้นรายงานว่า กลุ่มผู้ทดลองที่ใช้ ChatGPT เขียนเรียงความนั้นมีแนวโน้มการเรียนรู้และการทำงานเชื่อมต่อของสมองที่น้อยกว่าการไม่ใช้งาน ChatGPT 

โดยสังเกตได้จากการไม่สามารถจดจำข้อความบางส่วนจากเรียงความที่ตัวเองเขียนขึ้นมาได้ และยังไม่มีความมั่นใจในความเป็นเจ้าของผลงาน ซึ่งสอดคล้องกับค่า EEG ที่วิเคราะห์ได้ว่าการทำงานเชื่อมต่อของสมองในกลุ่มทดลองที่ใช้ ChatGPT น้อยกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ในกลุ่มทดลองทั้งหมด

งานวิจัยที่เผยว่าใช้ AI ทำสมองฝ่อ น่าเชื่อถือแค่ไหน ?

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการส่งตรวจวารสาร (Peer-review) เพื่อตีพิมพ์เท่านั้น ซึ่งแปลว่ายังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการว่างานดังกล่าวถูกต้องตามหลักการวิจัยหรือสรุปผลได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงกลุ่มตัวอย่างเพียง 54 คน ก็อาจเป็นกลุ่มทดลองที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะใช้อธิบายผลในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม นาตาลียา คอสมิน่า (Nataliya Kosmyna) หัวหน้าทีมวิจัยงานนี้ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ (TIME) โดยมองว่า การศึกษาของเยาวชนนั้นหันมาใช้ AI ช่วยเรียนกันมากขึ้น และข้อเท็จจริงจากงานวิจัยนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรับรู้โดยเร็ว และกระบวนการ Peer-review ซึ่งอาจกินมากเวลา 8 เดือน นั้นช้าเกินไปต่อผลกระทบโดยรวม

“What really motivated me to put it out now before waiting for a full peer review is that I am afraid in 6-8 months, there will be some policymaker who decides, ‘let’s do GPT kindergarten.’ I think that would be absolutely bad and detrimental,”

“สิ่งที่ทำให้ฉันอยากพูดเรื่องนี้จริง ๆ โดยที่ไม่รอ Peer review ให้เสร็จคือการที่ฉันกลัวว่าใน 6 - 8 เดือน จะมีคนที่มีอำนาจตัดสินใจสักคนบอกว่า เรามาทำโรงเรียนอนุบาล GPT กันเถอะ ซึ่งฉันว่ามันแย่และเป็นมหันตภัยเอามาก ๆ”

ด้วยเหตุนี้ เธอและทีมวิจัยจึงได้เผยแพร่งานวิจัยที่เป็นร่างงานตีพิมพ์ลงบนอาร์ไคฟ์ (Arxiv) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มตีพิมพ์งานก่อนวิจัย (Pre-print) ชื่อดัง รวมถึงสร้างเว็บบล็อกสำหรับเผยแพร่ข้อมูลในชื่อว่า "Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task" ตลอดจนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง