รีเซต

หลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่ไม่เลือกวัย

หลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่ไม่เลือกวัย
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 17:08 )
16

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก และหนึ่งในโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ซึ่งหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดว่าโรคนี้เป็นปัญหาของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แม้อายุไม่ถึง 40 ปี ก็อาจมีความเสี่ยงได้เช่นกัน

แพทย์หญิงทรายด้า บูรณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดหัวใจมีการสะสมของคราบไขมัน (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกโดยเฉพาะเวลาออกแรงหรือเครียด ปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนซ้าย คอ หรือกราม หายใจลำบาก หอบง่าย เหนื่อยผิดปกติ หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป การนั่งทำงานนาน ๆ ความเครียด การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด และการออกกำลังกายน้อย ต่างเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดโรคนี้เร็วขึ้น แม้ในคนอายุยังไม่ถึง 40 ปีก็สามารถมีความเสี่ยงได้เช่นเดียวกัน

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากกระบวนการที่ซับซ้อน แต่มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่

  • คอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูง: ไขมันเลว (LDL) สามารถไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด
  • ความดันโลหิตสูง: ทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและตีบเร็วขึ้น
  • เบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
  • การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดและทำให้เกล็ดเลือดจับตัวง่าย
  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจ
  • กรรมพันธุ์: หากในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ ย่อมเพิ่มความเสี่ยง

การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการซักประวัติหาความเสี่ยงของโรค การตรวจสุขภาพประจำปี แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอกเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือหน้ามืด แพทย์จะใช้การอัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram : ECHO) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) และการเดินสายพาน (EST-Exercise Stress Test) บางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยวิธีการทำ CT Scan (CTA Coronary Artery) เพื่อหาอาการผิดปกติประกอบการวินิจฉัยโรคร่วมด้วย

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

สำหรับแนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่มีอาการเรื้อรังหรือคงที่ คือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เป็น ๆ หาย ๆ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แพทย์จะวางแผนการรักษาด้วยการใช้ยา แนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ขยายหลอดเลือดด้วยการทำบอลลูน หรือผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

กลุ่มที่มีอาการแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ เจ็บแน่นหน้าอกร่วมกับเหนื่อยหอบ หน้ามืด เป็นลม หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น แพทย์จะรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจทันที

การป้องกันสำคัญที่สุด

แม้การแพทย์ในปัจจุบันจะก้าวหน้าเพียงใด แต่การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดอาหารมัน เค็ม และหวาน การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง