รู้จักเทคโนโลยีในการ "เพิ่มความสูง" ที่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
ความสูง คือหนึ่งในมาตรฐานความงามของคนวัยหนุ่มสาวเช่นเดียวกับน้ำหนักตัว หากแต่มีข้อแตกต่างตรงที่คุณสามารถปรับน้ำหนักได้ตามต้องการขึ้นกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย ในขณะที่ความสูงเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งมันจะอยู่คงที่ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ แน่นอนว่าธรรมชาติไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของมนุษย์ได้ จึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีและกระบวนการต่าง ๆ ในการเพิ่มความสูง ซึ่งคุณสามารถเพิ่มความสูงของตนเองด้วยกระบวนการเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่กว่าจะสิ้นสุดกระบวนการมันอาจทำให้คุณต้องเจ็บปวดอย่างมากเลยทีเดียว
กระดูกเพิ่มความยาวได้อย่างไร?
การเจริญเติบโตของกระดูกที่มีความยาวอย่างกระดูกต้นขา (Femur) หรือกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) จะมีพื้นที่ที่เรียกว่า Epiphyseal plate (อิพิไฟเซียล เพลต) ซึ่งเป็นพื้นที่ของกระดูกอ่อน (Cartilage) หากมองในภาพถ่ายเอกซเรย์จะเห็นเป็นส่วนที่ขาดหายไประหว่างกระดูกส่วนของ Epiphysis และ Metaphysis (เนื่องจากกระดูกอ่อนมีความหนาแน่นต่ำกว่ากระดูกแข็ง รังสีจึงทะลุผ่านไปได้)
ซึ่งส่วนของ Epiphyseal plate นี้จะประกอบด้วยเซลล์กระดูกที่ยังสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ จนเกิดเป็นกระบวนการเพิ่มความยาวของกระดูกเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการเพิ่มความยาวของกระดูกจะสิ้นสุดลงเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 18-21 ปี โดยกระดูกแข็งจะเข้ามาแทนที่กระดูกอ่อนใน Epiphyseal plate จนกระทั่งไม่สามารถแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มความยาวของกระดูกได้อีก
หลักการเพิ่มความสูงด้วยวิธีธรรมชาติ
การเจริญเติบโตของกระดูกถูกกระตุ้นได้ด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย รวมถึงกิจกรรมภายนอกอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความยาวของกระดูก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการปรับตัวของร่างกายให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ต้องประสบในทุก ๆ วัน ดังนั้น ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงหลักการง่าย ๆ เพียง 3 ข้อในการเพิ่มความสูงให้กับเด็กและวัยรุ่น ดังนี้
1. รับประทานอาหารให้เพียงพอ ครบ 5 หมู่
หลักการพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องทำให้ได้ นั่นคือการรับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าสารอาหารหลักอย่างคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน มีส่วนช่วยให้เซลล์ใน Epiphyseal plate เจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม
แต่สารอาหารเพิ่มเติมที่ขาดไม่ได้ในเด็กและวัยรุ่นที่กำลังโต คือ แคลเซียมและวิตามินดี ในร่างกายของเด็กในช่วงอายุ 9-18 ปี จะต้องการแคลเซียมราว 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและรับประทานได้ง่ายที่สุด คือ นมและผลิตภัณฑ์จากนม การดื่มนมวันละ 2 กล่อง ร่วมกับการรับประทานอาหารในแต่ละวันจะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว
สำหรับวิตามินดี มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์สามารถสังเคราะห์วิตามินดีขึ้นเองได้เพียงให้ผิวหนังได้รับแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) แต่เนื่องจากในช่วงที่มีการเรียนและทำงานออนไลน์อยู่บ้านกันมากขึ้น โอกาสที่จะได้ออกไปรับแสงแดดยามเช้ามีลดลงส่งผลให้การสังเคราะห์วิตามินดีตามธรรมชาติก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น การรับประทานอาหารจำพวกปลาและนมจะช่วยเสริมวิตามินดีให้แก่ร่างกายได้อย่างเพียงพอด้วย
2. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเปรียบเสมือนการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่า "จำเป็น" ต้องเพิ่มความยาวของกระดูก ในที่นี้หมายถึงเมื่อมีการออกกำลังกาย เซลล์ในบริเวณ Epiphyseal plate จะถูกกระตุ้นให้มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น เด็กและวัยรุ่นที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะสูงได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่ออกกำลังกาย
ซึ่งการออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของกระดูก คือ การออกกำลังกายชนิดลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น การวิ่ง, เต้นแอโรบิก, วอลเลย์บอล, ฟุตบอล, บาสเกตบอล, กระโดดเชือก แม้กระทั่งการเดินเร็วก็นับเป็นการออกกำลังกายชนิดลงน้ำหนักด้วยเช่นกัน การออกกำลังกายเช่นนี้จะทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการเพิ่มมวลกระดูกและเกิดการเจริญเติบโตเพิ่มความสูงขึ้นด้วยนั่นเอง
3. พักผ่อนอย่างเพียงพอ
การเจริญเติบโตของกระดูกต้องอาศัยฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต (Growth hormone) คุณอาจเคยได้ยินมาว่าฮอร์โมนชนิดนี้จะหลั่งในช่วงเวลานอน ใช่แล้ว !! ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากเมื่อคุณกำลังนอนหลับพักผ่อน ดังนั้น หากเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ฮอร์โมนชนิดนี้จะหลั่งออกมาน้อยลงและเป็นเหตุให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า ส่วนสูงก็จะเพิ่มขึ้นได้ช้าเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้คือหลักการง่าย ๆ ที่คุณสามารถช่วยให้ลูก ๆ หลาน ๆ มีร่างกายสูงใหญ่ตามที่ต้องการ หากแต่กรณีสุดวิสัยที่ Epiphyseal plate ปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่คุณยังมีส่วนสูงไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จะทำอย่างไรจึงจะเพิ่มความสูงขึ้นมาได้อีก? ในลำดับถัดไปคือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกนำมาใช้เพิ่มความสูง ที่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด...
Limb lengthening ยืดกระดูกให้ยาวขึ้น
วิธีการยืดกระดูกในกระบวนการเพิ่มความสูงแบบดั้งเดิมนั้นง่ายมาก ๆ (ในแง่ทฤษฎี) เพียงแค่ตัดกระดูกให้ขาดออกจากกัน จากนั้นค่อย ๆ ยืดกระดูกให้ห่างออกจากกัน ในขณะเดียวกันร่างกายจะพยายามซ่อมแซมกระดูกเหล่านั้น ผลลัพธ์สุดท้ายคือกระดูกที่ถูกตัดออกจะมีความยาวเพิ่มขึ้นเพราะการซ่อมแซมกระดูกของร่างกายนั่นเอง
เดิมทีวิธีการนี้ไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่มความสูงตั้งแต่แรก หากแต่เป็นการประยุกต์วิธีการของแพทย์ออโธปิดิกส์ชาวรัสเซีย กาวริล อิลลิซารอฟ (Gavriil Ilizarov) ซึ่งเขาพัฒนาอุปกรณ์นี้เพื่อใช้รักษานักกีฬาโอลิมปิกผู้หนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุจนขาหัก เมื่อปี ค.ศ. 1965
อุปกรณ์ของอิลลิซารอฟ (Ilizarov apparatus) มีลักษณะเป็นวงแหวน เชื่อมต่อกันด้วยแท่งเหล็กที่สามารถปรับให้ห่างออกหรือชิดเข้าหากันก็ได้ ลักษณะการตรึงกระดูกแบบนี้เป็นการใส่อุปกรณ์ไว้ภายนอกร่างกาย ปัจจุบันจึงเรียกวิธีการดังกล่าวว่า การตรึงกระดูกภายนอก (External fixation)
และเนื่องจากอุปกรณ์ของอิลลิซารอฟสามารถปรับให้ห่างออกจากกันได้ ในขณะที่วงแหวนถูกปรับให้ห่างออกจากกัน กระดูกที่ยึดอยู่ก็จะถูกดึงออกไปด้วย อุปกรณ์นี้จึงถูกนำไปใช้ในการเพิ่มความสูง โดยแพทย์จะตัดกระดูกยาวออกเป็น 2 ท่อน แล้วตรึงส่วนบน-ล่างไว้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ขันให้วงแหวนส่วนบนและส่วนล่างค่อย ๆ ถอยห่างจากกันทีละน้อย ในระหว่างนั้นร่างกายก็จะมีการซ่อมแซมกระดูก (คือการสร้างกระดูกขึ้นมาแทนส่วนที่ขาดไป) สุดท้ายเมื่อกระดูกถูกยืดออกจนได้ความยาวที่ต้องการแล้ว แพทย์จะถอดอุปกรณ์ตรึงออกและคุณก็จะได้ความสูงที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
ถึงตรงนี้คุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้กลัวอะไรนักหากสามารถผ่านขั้นตอนการผ่าตัดไปได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีความเสี่ยงอย่างมาก แม้ขั้นตอนผ่าตัดจะผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใน 2 ชั่วโมง แต่ขั้นตอนการยืดกระดูกด้วยการปรับให้วงแหวนห่างออกจากกันทีละน้อยนี้เองคือสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากยืดกระดูกออกจากกันน้อยเกิดไป ร่างกายจะซ่อมแซมกระดูกจนติดและไม่สามารถยืดออกได้ แต่ถ้ายืดกระดูกออกมามากจนเกินไป แทนที่ร่างกายจะสร้างกระดูกขึ้นมาทดแทน อาจกลายเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ไม่มีความแข็งแรงหรือได้กระดูกที่ผิดรูป
นอกจากนี้ ระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่หลังผ่าตัดจนถึงการถอดอุปกรณ์ออก อาจใช้เวลานานนับปี ผู้ที่เข้ารับการรักษาอาจพบอาการข้อติด, กล้ามเนื้อลีบ หรือสูญเสียความสามารถในการเล่นกีฬาไปด้วย เมื่อเทียบราคาในการเข้ารับการเพิ่มความสูงอยู่ที่ประมาณ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (อ้างอิงราคาจากประเทศสหรัฐอเมริกา) หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท ดูแล้ววิธีการดังกล่าวอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่คุณอาจได้รับมาในภายหลัง
เจ็บตัวน้อยกว่าด้วยการยืดกระดูกจากภายใน
เนื่องจากการยืดกระดูกด้วยอุปกรณ์ของอิลลิซารอฟมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ในวงการแพทย์จึงคิดค้นวิธีการใหม่ที่ปลอดภัยมากขึ้น เรียกว่า Intramedullary limb lengthening โดยมีหลักการ คือ การใส่แท่งโลหะที่ไม่ขึ้นสนิมและมีความแข็งแรงทนทานลงไปในแกนกลางของกระดูกยาว (Intramedullary) แล้วยึดด้วยสกรูในส่วนปลาย ซึ่งแท่งโลหะนี้จะสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมตคอนโทรล ผู้ใช้สามารถสั่งการให้แท่งโลหะค่อย ๆ ยืดออกทีละน้อย (เหมือนการดึงเสาสัญญาณวิทยุให้ยาวขึ้น) จะเห็นได้ว่ากระบวนการจะคล้ายกับการเพิ่มความยาวของกระดูกด้วยอุปกรณ์ของอิลลิซารอฟ แต่สามารถควบคุมได้ง่ายกว่า และผู้เข้ารับการรักษาสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็วกว่าด้วย
เมื่อได้ความยาวตามที่ต้องการแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาจะมาพบแพทย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อนำอุปกรณ์ออกจากกระดูก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ จากรายงานพบว่าผู้ที่เข้ารับการเพิ่มความสูงด้วยวิธี Intramedullary limb lengthening จะสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังมีโอกาสกลับมาเล่นกีฬาในระดับปานกลางได้มากกว่าการเพิ่มความสูงด้วยอุปกรณ์ของอิลลิซารอฟด้วย
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเพิ่มความสูงด้วย Intramedullary limb lengthening มีราคาสูงกว่าการเพิ่มความสูงด้วยวิธีดั้งเดิม เฉพาะตัวอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวไม่รวมหัตถการ มีราคาแพงกว่าอุปกรณ์ของอิลลิซารอฟถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 แสนบาทเลยทีเดียว
และนี่คือเทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้ในการเพิ่มความสูง แล้วคุณล่ะอยากลองเพิ่มความสูงด้วยวิธีการเหล่านี้ไม่?
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Interesting Engineering