รู้ทันอาการ "อะเฟเซีย" ภาวะผิดปกติการสื่อสารด้านภาษา
กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เปิดเผยว่า เมื่อสมองส่วนกลางที่รับผิดชอบเรื่องภาษา ได้รับความเสียหายจากสาเหตุใดก็ตาม จะทำให้มีความผิดปกติด้านภาษา ทักษะในการสื่อสาร พูดไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก รวมไปถึงการตอบโต้หรือทำความเข้าใจได้ช้าลง ซึ่งเรียกว่า "อาการอะเฟเซีย"
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ขยายความว่า อะเฟเซียเป็นกลุ่มอาการทางระบบประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความสามารถของสมองในการสื่อสารด้วยภาษา ผู้ป่วยที่มีอาการอะเฟเซีย จะมีความบกพร่องในการใช้ภาษา โดยแบ่งกลุ่มอาการออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 เป็นความผิดปกติด้านการสั่งการด้วยภาษา เช่น พูดไม่ออก สะกดคำผิด เขียนไม่ได้ เขียนไม่เป็นคำ เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก ถ้าผิดปกติเล็กน้อย อาจจะยังพอพูดออกเสียงได้เล็กน้อย
กลุ่มที่ 2 ความผิดปกติด้านความเข้าใจภาษา เช่น ฟังไม่เข้าใจ อ่านไม่เข้าใจ ยังสามารถพูดได้คล่อง แต่ไม่ตรงกับประเด็นสนทนา เพราะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้อื่นพูด
กลุ่มที่ 3 ความผิดปกติทั้งด้านการสั่งการด้วยภาษาและความเข้าใจภาษา ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะเงียบ เฉยเมย ไม่พูด และไม่เข้าใจภาษา
หากพบอาการแสดงที่สงสัยว่าเกิดจากภาวะอะเฟเซีย ควรเข้ารับการตรวจรักษาโดยทันที เพื่อให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะบางสาเหตุ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มแรก จะให้ผลการรักษาดีกว่า หรือหายเป็นปกติเลยเมื่อเทียบกับการปล่อยอาการไว้เป็นระยะเวลานาน
ว่าที่ร้อยตำรวจโทหญิง แพทย์หญิง นภา ศิริวิวัฒนากุล ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ บอกว่า สาเหตุอาการอะเฟเซียเกิดจากโรคทางระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง สมองอักเสบ เนื้องอกในระบบประสาท สมองเสื่อม เป็นต้น
ดังนั้นต้องซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อทราบลักษณะและระยะเวลาที่เกิดความผิดปกติ ควบคู่ไปกับการตรวจร่างกายเพื่อยืนยันและค้นหาความผิดปกติทางระบบประสาทอื่น ๆ ระบุสาเหตุของการเกิดโรค เพื่อเป็นแนวทางไปสู่การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
ซึ่งวิธีการรักษาจะขึ้นกับสาเหตุของโรคที่เป็น ควบคู่ไปกับการบำบัดฟื้นฟูการใช้ภาษา และการสื่อสารร่วมด้วย
ส่วนแนวทางป้องกันการเกิดโรค ได้แก่
-การดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง
-รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายเหมาะสม มีการนอนหลับที่ดี
-การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
-ดูแลสุขภาพใจให้สมบูรณ์ดี หลีกเลี่ยงความเครียดหรืออารมณ์ที่หม่นหมอง
-ในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะน้ำหนักเกิน เบาหวาน ความดันโหลิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือสูบบุหรี่ ควรติดตามการรักษา รับประทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ เพื่อช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับสมอง ทั้งภาวะอะเฟเซีย หรือความผิดปกติจากโรคไม่ติดต่อทั้งหมดในระบบประสาทได้อีกด้วย
ข้อมูล : กรมการแพทย์
ภาพ : ทีมกราฟิก TNN ช่อง 16