รีเซต

สงครามแรร์เอิร์ธ ไทย (ควร) อยู่ตรงไหน ?

สงครามแรร์เอิร์ธ ไทย (ควร) อยู่ตรงไหน ?
TNN ช่อง16
15 ธันวาคม 2568 ( 15:31 )
17

"ธาตุหายาก" หรือแรร์เอิร์ธ (Rare-earth element: REE) เป็นกลุ่มธาตุโลหะที่ปรากฏในแร่หลายชนิด โดยสาเหตุที่ได้ชื่อว่า "ธาตุหายาก" มาจากความยากในการสกัดให้ได้ในรูปแบบบริสุทธิ์ เนื่องจากธาตุเหล่านี้มักกระจายตัวปะปนอยู่ในแร่หลายชนิดในปริมาณน้อย อีกทั้งกระบวนการสกัดธาตุหายากดังกล่าวต้องใช้สารเคมีเข้มข้นและก่อให้เกิดของเสียอันตรายจำนวนมาก จึงทำให้มีต้นทุนการผลิตสูงและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ 

แต่ “แรร์เอิร์ธ” เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์และสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (มอเตอร์แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง) อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (เครื่องกำเนิดไฟฟ้าของกังหันลมและแบตเตอรี่) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต) อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)) รวมถึงอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (อาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบนำทาง และเรดาร์) 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรร์เอิร์ธเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศต่างๆ ในโลก โดย McKinsey & Company คาดการณ์ว่าในปี 2578 ความต้องการแรร์เอิร์ธที่ใช้ในการผลิตแม่เหล็กของโลกจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับปี 2565

ปัจจุบันแรร์เอิร์ธกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อรองระหว่างสหรัฐฯ กับจีนท่ามกลางสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยจีนเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากจีนเป็นหลัก ส่งผลให้จีนสามารถใช้แรร์เอิร์ธเป็นเครื่องมือต่อรองกับสหรัฐฯ

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 จีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธ (Export control) ที่เข้มงวดขึ้นโดยกำหนดให้ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแรร์เอิร์ธ 12 ชนิด ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล (เมื่อเดือนเมษายน 2568 จีนจำกัดการส่งออกธาตุหายาก 7 ชนิด)  ขณะที่สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 100% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากจีน และจำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปยังจีน คาดว่าจะเริ่มใช้ 1 พฤศจิกายน 2568 อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 สหรัฐฯ และจีนได้เจรจาและตกลงระงับการบังคับใช้มาตรการเหล่านี้เป็นเวลา 1 ปี จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2569 

แม้สงครามการค้าที่มีแรร์เอิร์ธเป็นหนึ่งในเครื่องมือจะผ่อนปรนลงชั่วคราว แต่ในระยะยาวสหรัฐฯ ยังต้องการคานอำนาจและลดการพึ่งพาจีน ส่งผลให้สหรัฐฯ เร่งสร้างพันธมิตรด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธกับประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย เวียดนาม รวมถึงไทยด้วย 

โดยไทยและสหรัฐฯ ได้ลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เป็นกรอบความร่วมมือด้านการสำรวจศักยภาพแหล่งแร่และการพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปแรร์เอิร์ธ  สะท้อนว่าไทยกำลังเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนี้


ดังนั้น เพื่อประเมินบทบาทของไทย ตลอดจนโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน  “ทีมวิจัยกรุงศรี”  ได้ศึกษาห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของโลก  พร้อมวิเคราะห์ว่า “ไทยอยู่ตรงไหน” ในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธของโลก เพื่อตอบโจทย์  โอกาสและความท้าทายของไทยท่ามกลางสมรภูมิแรร์เอิร์ธ

 

โดยวิจัยกรุงศรี ระบุว่า ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเริ่มจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ การแยกและถลุงแร่  (อุตสาหกรรมกลางน้ำ) ไปจนถึงการผลิตสารประกอบ โลหะ และแม่เหล็กถาวร (อุตสาหกรรมปลายน้ำ)  ซึ่งจีนเป็นผู้เล่นหลักในทุกๆ ขั้นของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากจีนมีปริมาณสำรองของแรร์เอิร์ธมากที่สุดถึง 44 ล้านตัน และรัฐบาลจีนเร่งพัฒนา อุตสาหกรรมอย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2534 ด้วยการประกาศให้แรร์เอิร์ธเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์  โดยปัจจุบันมีบริษัท China Rare Earth Group และ China Northern Rare Earth เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ 

ขณะที่สหรัฐฯ มีปริมาณสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน และพยายามขยายทั้งกำลังการผลิตและพันธมิตรเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีน ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนมีบทบาทตั้งแต่กิจกรรมต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำที่แตกต่างกันไป 

การที่จีนมีปริมาณสำรองของแรร์เอิร์ธ สะท้อนจากศักยภาพในอุตสาหกรรมต้นน้ำ หรือการทำเมืองแร่ ซึ่ง  กิจกรรมต้นน้ำเริ่มจากการขุดและสกัดสินแร่ที่มีแรร์เอิร์ธ เช่น แร่บาสต์เนไซต์ และแร่โมนาไซต์ จากนั้นนำไปแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น (Mineral concentrate)  

โดยข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey: USGS) ระบุว่าในปี 2567 จีนสามารถผลิตแรร์เอิร์ธจากการทำเหมืองได้มากที่สุดถึง 270,000 ตัน/ หรือราว 70% ของโลก รองลงมาคือสหรัฐฯ (45,000 ตัน) และเมียนมา (31,000 ตัน) ขณะที่ไทยผลิตได้ 13,000 ตัน เป็นอันดับที่ 4 ร่วมกับออสเตรเลียและไนจีเรีย 

สำหรับอุตสาหกรรมต้นน้ำ  ประเทศไทยยังไม่มีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธเชิงพาณิชย์ แต่มีกิจกรรมแต่งแร่ (Beneficiation) โดยนำเข้าสินแร่ดิบมาแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น ซึ่งเป็นการแยกแร่ที่มีแรร์เอิร์ธออกจากหินและแร่อื่นๆ จากนั้นส่งออกไปยังประเทศที่สามารถกลั่นแรร์เอิร์ธได้

ส่งผลให้ในปี 2567 สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา ประเมินว่าไทยมีผลผลิตแรร์เอิร์ธอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก แม้ว่าจะมีปริมาณสำรองอยู่ในอันดับที่ 12 หรือเพียง 4,500 ตัน โดยโรงงานแต่งแร่ที่สำคัญในไทย ได้แก่ บริษัท สินแร่สาคร จำกัด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบริษัท รัตนรังษิวัฒน์ จำกัด ในจังหวัดพังงา

ขณะที่อุตสาหกรรมกลางน้ำ: การแยกและถลุงแร่นั้น  สินแร่เข้มข้นที่ได้จากเหมืองแร่จะถูกนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อผลิต “สารประกอบโลหะ” หรือ “แรร์เอิร์ธออกไซด์” ที่มีความบริสุทธิ์สูง (Rare-earth oxide: REO) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตโลหะและแม่เหล็กในขั้นปลาย 

กิจกรรมแปรรูปแร่นับว่ามีมูลค่าเพิ่มสูงตามความซับซ้อนของเทคโนโลยี โดยจีนเป็นผู้นำตลาดด้วยกำลังการผลิตราว 80-90% ของทั้งโลก ส่งผลให้จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ซึ่งประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีของโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนสูง 

ขณะที่มาเลเซียถือเป็นผู้เล่นที่เริ่มมีบทบาทสูงขึ้น โดยปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกสารประกอบแรร์เอิร์ธอันดับที่ 2 รองจากจีน ซึ่งการผลิตมาจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในมาเลเซียตั้งแต่ปี 2555 ส่งผลให้มาเลเซียส่งออก REO ได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกตั้งแต่ปี 2557

 

ส่วนสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกอันดับ 3  รองจากจีนและมาเลเซีย โดยมีตลาดสำคัญคือจีน เวียดนาม และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เร่งขยายกำลังการผลิตในประเทศ โดยสามารถดึงบริษัท Lynas Rare Earths ให้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธในรัฐเท็กซัส ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569

สำหรับอุตสาหกรรมกลางน้ำ พบว่าปัจจุบันไทยยังไม่สามารถแปรรูปแรร์เอิร์ธได้ในระดับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสารประกอบแรร์เอิร์ธในขั้นกลาง เพื่อใช้ในการผลิตโลหะและแม่เหล็กในอุตสาหกรรมขั้นปลาย เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก

ทั้งนี้ ข้อมูลการค้าของไทยพบว่าในปี 2567 ไทยนำเข้าสารประกอบแรร์เอิร์ธ (HS284612) มูลค่า 64.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยเกือบ 80% เป็นการนำเข้าจากมาเลเซีย รองลงมาคือสหรัฐฯ เวียดนาม และจีน  

ขณะที่ไทยส่งออกโลหะที่ผลิตจากแรร์เอิร์ธ (HS 28053013) มูลค่า 65.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับที่ 2 รองจากจีน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 1 ใน 3 ของโลก โดยกว่า 70% ส่งไปยังญี่ปุ่น ตามด้วยเวียดนาม จีน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ ไทยยังนำเข้าโลหะแรร์เอิร์ธ (วัตถุดิบหนึ่งในการผลิตแม่เหล็ก) เป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยมาจากมาเลเซีย (78%) เอสโตเนีย  เวียดนาม และจีน (38%)


ขณะที่อุตสาหกรรมปลายน้ำ: การผลิตโลหะและแม่เหล็กจากแรร์เอิร์ธ ในขั้นนี้ ผู้ผลิตจะนำสารประกอบโลหะหรือแรร์เอิร์ธออกไซด์ (REO) มาผ่านกระบวนการเพื่อแปลงเป็นโลหะ (Metal) และโลหะผสม (Alloy) จากนั้นนำไปผลิต “แม่เหล็กถาวร” ที่มีประสิทธิภาพสูง (Permanent magnet) เช่น แม่เหล็ก Neodymium-Iron-Boron (NdFeB) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของมอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และสมาร์ตโฟน เป็นต้น 

ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิต “แม่เหล็กถาวร” สูงที่สุด โดยสามารถส่งออกได้ราว 63% ของการส่งออกทั้งโลก รองลงมาคือญี่ปุ่น  เยอรมนี  และสหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเพียง 20% ทั้งนี้ประเทศผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานลม ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จีนเริ่มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่กำลังเร่งขยายฐานการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายอย่างแม่เหล็กถาวรเป็นอันดับที่ 9 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 55.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือสัดส่วน 1.1% ของการส่งออกแม่เหล็กถาวรของทั้งโลก โดยตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น (40%) และจีน (38%)

ผู้ผลิตรายสำคัญในอุตสาหกรรมปลายน้ำของไทยคือบริษัท แม็กนิเควนช์ (โคราช) จำกัด ในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งประกอบกิจการโรงงานผลิตผงแม่เหล็ก (Magnetic powder) โดยเป็นบริษัทในเครือของบริษัท Neo Performance Materials ผู้ผลิตวัสดุแม่เหล็กชั้นนำจากแคนาดา ซึ่งมีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเพียงแห่งเดียวในไทย

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิของสินค้าแม่เหล็กถาวร โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน (46% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดในปี 2567) ตามมาด้วยญี่ปุ่น (41%)

จากการพิจารณาข้อมูลการค้าสินค้าและผลสำรวจที่เกี่ยวข้องกับแรร์เอิร์ธข้างต้น  วิจัยกรุงศรีมีมุมมองว่า ปัจจุบันไทยมีบทบาทจำกัดในอุตสาหกรรมกลางน้ำ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในไทย 

ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอย่างมาเลเซียได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญของโลกเนื่องจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียเข้ามาลงทุนในธุรกิจสกัดแรร์เอิร์ธ อย่างไรก็ดี แม้ธุรกิจกลางน้ำจะมีมูลค่าเพิ่มสูง แต่ก็มาพร้อมกับผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สูงเช่นกัน

ในขณะที่อุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ ไทยเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นโดยอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบ (แร่ดิบและแรร์เอิร์ธบริสุทธิ์) มาผ่านกระบวนการเพิ่มมูลค่าในประเทศ โดยได้อานิสงส์จากการลงทุนจากต่างประเทศ   ทั้งนี้คาดว่าการลงทุนในกิจกรรมปลายน้ำจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันไทยยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิของสินค้าแม่เหล็กถาวร โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน ตามมาด้วยญี่ปุ่น 

อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในภูมิภาค โดยชาติอาเซียนต่างพยายามดึงดูดการลงทุนจากประเทศที่เร่งขยายฐานการผลิตแม่เหล็ก เช่น มาเลเซีย เป็นฐานการแปรรูปแรร์เอิร์ธของบริษัทจากออสเตรเลีย ซึ่งกำลังขยายธุรกิจไปยังการผลิตแม่เหล็กในขั้นปลายน้ำ ขณะที่เวียดนาม นอกจากมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธสูงแล้ว ยังเป็นฐานการผลิตแม่เหล็กถาวรของบริษัทจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้อีกด้วย 

นอกจากนี้ อีกความท้าทายหนึ่งคือการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการผลิตโลหะแรร์เอิร์ธและแม่เหล็กก่อให้เกิดของเสียและกากอุตสาหกรรม ซึ่งอาจปนเปื้อนโลหะหนัก จึงต้องมีระบบจัดการกากที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนดินและน้ำ

ดังนั้น วิจัยกรุงศรีจึงมองว่าไทยมีโอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธแตกต่างกันไปในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ดำเนินนโยบายและภาคธุรกิจควรคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบอย่างรอบด้าน 

เพราะต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเปรียบเสมือน "ดาบสองคม" กล่าวคือไทยมีโอกาสทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่มีแนวโน้มเติบโตตามทิศทางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดของโลก แต่ในขณะเดียวกันกระบวนการผลิตแรร์เอิร์ธก็สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนัก และของเสียอันตรายในแหล่งน้ำและดิน รวมถึงมลพิษทางอากาศ

ดังนั้นการตัดสินใจพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของไทยต้องมาพร้อมกับการประเมินความคุ้มค่าระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน อีกทั้งควรมีการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็งและโปร่งใส เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน สังคม ตลอดจนเป้าหมายความยั่งยืนของไทยในระยะยาว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง