บุกออฟฟิศ Bitkub ส่องชีวิตพนักงาน อยากทำงานที่นี้ไหม? | TNN Tech Reports Weekly
"ตั้งแต่ที่ Bitkub แพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2018 จากปีแรกที่เริ่มต้นทีมงานเพียง 10 คน จนตอนนี้เกือบ 5 ปีมีพนักงานประจำอยู่ถึงประมาณ 1,000 คนด้วยกัน โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปี จุดพีคที่สุดของเรา คือเราเคยมีพนักงาน 2,000 คน ซึ่งตอนนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างพนักงานประจำ กับพนักงาน Outsource
โดยช่วงที่บริษัทโตเร็วมาก อย่างปีที่แล้วเราโต 2,000% เราก็เลยต้องมี Outsource เข้ามาช่วยทำงาน แต่พนักงานตอนนี้ที่เป็น Fulltime จริงๆ ทีประมาณ 1,000 คน เท่านั้น"
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
บริษัทที่โต 1,000% ทุกปี ?
Bitkub เป็นบริษัทจดทะเบียนในเมืองไทย จ่ายภาษีในประเทศไทย และเป็นบริษัทที่เติบโตค่อนข้างเร็ว ซึ่งโต 1,000% ทุกปี ปี 2022 ที่ผ่านมา ทางบริษัทนั้นเติบโตถึง 2,000% ซึ่งปีที่แล้วรายได้ของทั้งกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 6,600 ล้าน กำไรอยู่ที่ประมาณ 3,300 ล้าน ปัจจุบัน Bitkub มีบริษัททั้งหมด 12 บริษัทในเครือ มีพนักงานกว่าร้อยละ 99 เป็นคนไทย และทั้งหมดก็อยู่ในประเทศไทยอีกด้วย
การทำงานแบบ “Remote First”
ปัจจุบัน Bitkub ใช้ระบบการทำงานในแบบ “Remote First” หรือ ทำงานที่บ้าน หรือ ที่ไหนก็ได้ มาตั้งแต่ช่วงโควิด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ออฟฟิศที่มีพื้นที่กว่า 1500 ตารางเมตร จากเดิมก่อนโควิดที่ 3000 ตารางเมตร และกำหนดให้พนักงานเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกันทุกทีม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหัวหน้าทีมว่าจะให้เข้าวันไหน โดยขอให้ทีมที่เข้ามาเจอกันมีขนาดประมาณพิซซ่า 2 ถาด
โดยเหตุผลที่บริษัทเทคชั้นนำอย่าง Bitkub ที่เพียบพร้อมไปเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน ยังต้องให้พนักงานเข้ามาที่ออฟฟิศก็เพื่อให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขอแค่ 1 ทีม คุยกันในแต่ละทีม ให้ทีมที่พอที่จะแชร์พิซซ่า 2 ถาดได้ เป็นไซส์ที่กำลังเหมาะในการสื่อสารที่ Effective ที่สุด ให้ทีม Lead สามารถคุยกับทีมข้างในกันเองได้เลย ว่าจะเข้ามาวันไหนดี
"พอเราไม่เจอกันเลย เราจะเข้าใจกันน้อยลง..."
ถึงการทำงาน Online ของ Bitkub จะเป็นแบบ Remote First แต่พนักงานก็สามารถเลือกที่จะทำงานที่ไหนก็ได้ จะต่างประเทศ เมืองไทย จังหวัดไหนก็ได้ แต่อย่างน้อยสักครั้งนึง ต้องมี Human touch มีความสัมพันธ์ และต้องเห็นหน้ากันด้วย เพราะพอทุกคนไม่เจอกัน อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง จะเกิด Conflict เกิดการทะเลาะกัน เกิดความเข้าใจผิดกัน เกิดการสื่อสารที่คาดเคลื่อนกันมากขึ้น และเข้าใจกันน้อยลง
พอให้ทีมงานมาออฟฟิศอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ยังทำงาน Online ได้อยู่เเป็นหลัก ทางบริษัทพบว่ามันช่วยลดความเข้าใจผิดกันได้เยอะขึ้น มีความเข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นการผสมผสานที่ลงตัว อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Bitkub ไม่ได้ทำงานแบบ Hybrid แต่ยังเป็น Remote first Company อยู่
พนักงานของ Bitkub ใช้ชีวิตกันอย่างไร ?
ออฟฟิศของ Bitkub มีลักษณะเป็น Open Office คือเป็นแบบเปิดโล่งไม่มีห้องกั้น เพื่อให้การสื่อสารเกิดการเข้าถึงมากที่สุด แม้กระทั่งผู้บริหารใหญ่อย่างคุณท๊อปเองก็ยังไม่มีโต๊ะทำงานเป็นของตัวเอง เพราะการมีกำแพงเยอะ ๆ นั้นไม่ดี มันทำให้ข้อมูลไหลลื่นได้ไม่เยอะ และทำให้พนักงานหลายคน ไม่รู้สึกว่าเป็นทีมเดียวกัน และทางบริษัทจะไม่ใช้คำพูดประเภท นี่เป็นแผนกฉัน นี่เป็นแผนกนาย จะพูดกันแค่นี่คือทีม เราเป็นทีมเดียวกันเท่านั้น
ที่ Bitkub นั้นมีห้องประชุมที่เยอะมาก ๆ แถมยังตั้งชื่อห้องแต่ละห้องเป็น "ชื่อเหรียญ" เพราะนั่นคือความเชื่อของบริษัท นอกจากนี้ทางบริษัทยังมี "โซนรังนก" เอาไว้ให้พนักงานที่ต้องการใช้เสียงในการแชร์ไอเดียกันได้ มีตู้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นตู้เก็บเสียง ไว้คุยงานอย่างเป็นส่วนตัว มีห้องนอนพัก มี Town Hall สำหรับการประชุมที่เป็นพบปะระหว่างผู้บริหารระดับสูงกับพนักงาน และยังมีคาเฟ่ Food Truck โซนตู้อาหาร ตู้ขนม ตู้น้ำ ห้องนวด โต๊ะสนุ๊ก โต๊ะปิงปอง และมีเกมไว้ให้เล่นอีกด้วย
Communication Arm ?
ที่ Bitkub ยังมีห้อง Video Production ไว้สำหรับทำเนื้อหาสื่อสารกับลูกค้าอีกด้วย โดยทีม Production ของพวกเขามีชื่อว่า Communication Arm มีทั้งทีมตัดต่อ และทีมตั้งกล้องเป็นของตัวเอง และยังมีห้องตัดต่อ ห้องถ่ายทำอย่างครบสมบูรณ์ เพราะ Bitkub เชื่อว่าบริษัทที่สื่อสารกับลูกค้าตลอดเวลา มีความสัมพันธ์กับลูกค้า ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเค้ารู้จักเรา รู้จักคนที่ทำงานทุกวัน ลูกค้าจะรู้สึกว่าเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ที่เค้ารู้จัก ที่โตมาด้วยกัน
Digital Company ?
Bitkub ตั้งแต่ Day 1 หรือปีแรกเลย ทางบริษัทนั้นเป็น Digital Company (บริษัทที่ดำเนินธุรกิจบนระบบดิจิทัล) ทำให้ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บอยู่บน Cloud ไม่มีระบบการทำงานใดเป็นระบบเก่าที่ต้องมาเปลี่ยนภายหลัง ทุก ๆ แอปพลิเคชันของบริษัทก็ใช้เซิฟร์เวอร์เป็น Cloud Based Application (แอปพลิเคชันที่ให้บริการบนฐานการจัดเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ ) ที่เราจ่าย Subscription (การสมัครสมาชิก) รายเดือน ส่วนแอปไหนที่ไม่เวิร์ค ก็จะ Subscribe แอปใหม่ล่าสุดที่เข้าถึงเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดตลอด เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดได้ เพิ่ม Productivity (ผลิตภาพ) ที่สูงที่สุด ใช้สิ่งที่ดีที่สุด
ซึ่งตอนนี้ทาง Bitkub มีแอปกว่า 100 แอปพลิเคชัน และเดือนนึงทางบริษัทต้องจ่ายประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท และทาง Bitkub ยืนยันว่ามันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะมันทั้งประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพของการมี Output (ผลผลิต) ที่สูงขึ้น เป็นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ไม่หนักตัว Capex ไม่มี มีแต่ Opex สามารถที่จะขยับเป็นปลาเร็วที่ขยับได้ตลอดเวลา
ก้าวต่อไปของ Bitkub
ก้าวต่อไปของ Bitkub จะมีการพัฒนา 3 ส่วนด้วยกัน คือ
1. เพิ่มความหลากหลายของเชื้อชาติ เพื่อเตรียมขยายตลาดไปต่างประเทศ
2. เพิ่มโอกาสให้กับสตรี ได้มีบทบาทมากขึ้นในหน้าที่การงาน โดยอย่างน้อยต้องมีผู้หญิงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของพนักงานทั้งหมด
3. การบริหารผู้ได้ประโยชน์หรือ Stakeholdersให้ได้ประโยชน์อย่างเสมอกัน ไม่ได้มองแต่ผู้ถือหุ้น หรือ Shareholders เท่านั้น
Bitkub ต้องการที่จะมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ความหลากหลายทางด้านสีผิว และความหลากหลายทางด้านความคิดวัฒนธรรม โดยเชื่อว่าการเพิ่มความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและเพศจะช่วยให้เกิดความสมดุลย์ในการตัดสินใจ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแตกต่างจากการบริหารงานบริษัทในวงการเงินดิจิทัลและบล๊อกเชนที่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางผู้ชาย จริงๆ การที่บริษัทมีหลากหลายเพศ หลากหลายเชื้อชาติ ในระยะยาวเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับบริษัท เพราะมันคือความหลากหลายทางด้านความคิด มีการมี Check and Balance (ตรวจสอบและถ่วงดุล) เพื่อกล้าที่จะ Debate (อภิปราย) กล้าที่จะแชร์หลากหลายมุมมอง เพื่อจะไปเป็นการตัดสินใจที่แม่นยำและถูกต้องที่สุดสำหรับบริษัท
ออฟฟิศของ Bitkub เป็นออฟฟิศในฝันแล้วหรือยัง ?
"จริง ๆ ก็ Happy กับออฟฟิศนี้ เป็นออฟฟิศที่มีทุกอย่างที่คิดว่าเป็นออฟฟิศ ทันสมัยที่สุดที่นึงของประเทศไทยไม่น่าจะแพ้ใคร แต่ก็อยากจะใหญ่กว่านี้ ไม่ได้หยุดแค่ 1,000 คน เราต้องเข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดในทุก ๆ ยุค ทุกสมัย คือการเปลี่ยนแปลง แม้แต่วิธีการทำงานที่เปลี่ยนไป สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปของการทำงาน
หลังโควิดผมก็เชื่อว่า Office Space ก็จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว เพราะโลกขยับเขยื้อนไปข้างหน้าตลอดเวลา หลังจากนี้ก็อาจจะไม่ใช่เหมือนสวนสนุก เหมือน Google, Facebook Office ที่มีสีสัน จะเป็น Remote First Company บริษัทใหญ่ จะไม่ใช่บริษัทที่มี Headquarter ใหญ่ๆ แล้ว แต่จะเป็นบริษัทที่มีหลาย Location ซึ่งคนรุ่นใหม่เค้าก็ชอบความ Flexibility ในการทำงาน ต้องการมี Environment ไม่เคร่งครัด จนทำให้ไม่เกิด Creativity
แล้วเราสามารถที่จะวัดผลได้ เพราะว่าทุกอย่างเป็น Digital เราสามารถที่จะ Track Performance ได้ ซึ่งพอเวลาเราวัดผลได้ ไม่ต้องมานั่งนับเวลา
ตอนนี้เรามีแค่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ ในประเทศไทย อนาคตก็อยากจะมีหลากหลายออฟฟิศ มีออฟฟิศที่ฟิลิปปินส์ มีออฟฟิศที่อินโดนีเซีย มีออฟฟิศที่สิงคโปร์ ประเทศไทยก็จะมีทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต"
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์