รีเซต

นักเทรดควรรู้ สรุปภาษีคริปโต นักลงทุนยื่นภาษีอย่างไร? เตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษี 2567

นักเทรดควรรู้ สรุปภาษีคริปโต นักลงทุนยื่นภาษีอย่างไร? เตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษี 2567
ทันหุ้น
21 มีนาคม 2568 ( 12:29 )
10

 

#ภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล #ทันหุ้น- อัปเดตความพร้อมก่อนยื่นภาษี 2567

คริปโทเคอร์เรนซี หรือ สกุลเงินดิจิทัล ได้กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ได้รับความนิยมในไทย นักลงทุนในไทยจํานวนมากหันมาซื้อขาย แลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม การที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ก็นําพาการท้าทายใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของ “ภาษี” ในการเทรดคริปโตนั้นเอง นักลงทุนในคริปโตควรให้ความสําคัญกับการจัดการภาษี หลัก ๆ คือ เพื่อการปฎิบัติตามข้อกฏหมายที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต บทความนี้จะสรุปเนื้อหาสาระสําคัญในการเสียภาษีคริปโต เพื่อให้นักลงทุนจัดการและรับรู้เรื่องภาษีคริปโตได้อย่างมีประสิธิภาพ

.

ผู้ที่เข้าข่ายในการเสียภาษีคริปโต

นักลงทุนที่เทรดคริปโต ณ ปัจจุบัน อาจมีข้อสงสัยว่าตนต้องเสียภาษีจากการเทรดคริปโตหรือไม่ จากการประกาศของสรรพากรในแนวทางการปฎิบัติจัดการเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซี ณ วันที่ 31 มกราคม 2565สรุปได้ว่ากลุ่มคนหรือผู้ที่เข้าข่ายในการเสียภาษีคริปโตมีดังนี้

1.เป็นผู้ที่มีการจําหน่าย จ่าย โอน หรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล

2.เป็นผู้ขุดคริปโทเคอร์เรนซี

3.เป็นผู้ที่ได้รับคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง

4.เป็นผู้ที่ได้รับคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล จากการให้หรือได้รับเป็นรางวัล

5.เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยขน์หรือการตอบแทนจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล

.

วิธีการคํานวนภาษีคริปโต

วิธีในการคํานวนภาษีคริปโตจะมี 2 วิธีการได้แก่

 

1.วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (First in, First out) หรือ FIFO

วิธีการนี้เป็นการคํานวนต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล โดยการถือว่าคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมาก่อนจะขายออกไปก่อนตามลําดับ จึงทําให้คริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่มีอยู่ ณ วันสุดท้าย เป็นคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมาครั้งล่าสุด

 

ตัวอย่างของการคํานวนแบบ วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน หรือ FIFO

จากตารางข้างต้น รายละเอียดวิธีการคํานวนแบบ FIFO จะมีดังนี้:

 

การคํานวนของเหรียญ A

— ในวันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ทําการซื้อเหรียญ A จํานวน 1เหรียญในราคา 1200 บาท ราคานี้จึงเป็นราคาต้นทุนของเหรียญ

— ในวันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทําการขายเหรียญ A จํานวน 1เหรียญในราคา 1600 บาท

— ในที่นี้ นาย ก จะมีกําไรจากเหรียญ A เป็นจํานวน 400 บาท เพราะ 1600 -1200 = 400 บาท

การคํานวนกําไรของเหรียญ B

— ในวันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ทําการซื้อเหรียญ B จํานวน 1เหรียญในราคา 1000 บาท ราคานี้จึงเป็นราคาต้นทุนของเหรียญ

— ในวันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทําการขายเหรียญ B จํานวน 1เหรียญในราคา 800 บาท

— ในที่นี้ นาย ก จะขาดทุนจากเหรียญ B เป็นจํานวน 200 บาท เพราะ 800–1000 = -200 บาท

รายรับสุทธิของนาย ก โดยวิธีการคํานวนแบบ FIFO ของเหรียญ A และ B จะเท่ากับ = 400–200 = 200

 

การยื่นภาษีในกรณีหากได้กําไร

ในกรณีที่รายรับสุทธิจากการขายเหรียญของนาย ก เป็นกําไรในจํานวนเงินที่ 200 บาท นาย ก ต้องยื่นเสียภาษีสําหรับการซื้อขายคริปโต เป็นจํานวนเงิน 200บาทนั้นเอง

.

2.วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Moving Average Cost

วิธีการนี้เป็นการคํานวนต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล แต่ละประเภทจะกําหนดจากการถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ต้นทุนประเภทเดียวกัน ณ วันต้นปีกับต้นทุนที่ได้ทําการซื้อมาในระหว่างปี ซื่งจะคํานวนทุกครั้งที่ได้ทําการซื้อ

 

ตัวอย่างของการคํานวนแบบ วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Moving Average Cost

จากตารางข้างต้น รายละเอียดวิธีการคํานวนแบบ Moving Average Cost จะมีดังนี้:

การคํานวนของเหรียญ A

— ในวันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ซื้อเหรียญ A จํานวน 1 เหรียญในราคา 1000 บาท

— ในวันที่ 4/2/67 นาย ก ได้ซื้อเหรียญ A จํานวน 1 เหรียญในราคา 800 บาท

— การคํานวนต้นทุนของเหรียญ A = (1000 + 800) / 2 = 900 บาท

— ในวันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทําการขายเหรียญ A จํานวน 1เหรียญในราคา 700 บาท

— ในที่นี้ นาย ก จะขาดทุนจากเหรียญ A เป็นจํานวน 200 บาท เพราะ 800–1000 = -200 บาท

การคํานวนของเหรียญ B

— ในวันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ซื้อเหรียญ B จํานวน 1 เหรียญในราคา 900 บาท

— ในวันที่ 4/2/67 นาย ก ได้ซื้อเหรียญ B จํานวน 1 เหรียญในราคา 600 บาท

— การคํานวนต้นทุนของเหรียญ B = (900 + 600) / 2 = 750

— ในวันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทําการขายเหรียญ B จํานวน 1เหรียญในราคา 750

— ในที่นี้ นาย ก จะไม่ได้กําไรหรือขาดทุน เพราะราคาต้นทุนถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 750 บาท และราคาขายอยู่ที่ 750 บาท จึงทําให้นาย ก อยู่ในจุดที่เท่าทุน

รายรับสุทธิของนาย ก โดยวิธีการคํานวนแบบ Moving Average Cost ของเหรียญ A และ B จะเท่ากับ = -200 + 0 = -200

.

การยื่นภาษีในกรณีหากขาดทุน

ในกรณีที่รายรับสุทธิจากการขายเหรียญของนาย ก นั้นขาดทุนในจํานวนเงิน 200 บาท จะถือว่านาย ก ไม่ได้รับรายได้จากการซื้อขายคริปโต ทําให้นาย ก ไม่ต้องยื่นเสียภาษีสําหรับการซื้อขายคริปโตนั้นเอง

.

ข้อมูลสาระสําคัญเพิ่มเติม

1.ในทุกกรณีของผู้ที่เข้าข่ายในการเสียภาษีคริปโต จําเป็นที่จะต้องยื่นภาษีแบบ ภ.ง.ด.90/91สําหรับปีภาษีดังกล่าว ภายในวันที่ 31 มี.ค. ของปีถัดไป

2.เอกสารหลักฐานในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 มีดังนี้

— จํานวนเหรียญที่ซื้อขาย

— มูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซี ณ วันที่ทําธุรกรรม

— อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง

— รายละเอียดของผู้ซื้อหรือผู้ขาย สําหรับการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล (ถ้ามี)

— หลักฐานใบกํากับภาษี หรือ ในเสร็จค่าใช้จ่าย

— หนังสือการรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี)

3.ในการคํานวนต้นทุนจะต้องเลือกใช้วิธีใดวิธีนึง (FIFO หรือ Moving Average Cost) และจะต้องใช้วิธีที่เลือกไปตลอดทั้งปีภาษี แต่สามารถเลือกเปลี่ยนวิธีการคํานวนได้ในปีถัด ๆ ไป

4.ในการคํานวนต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลจะต้องรวมค่าใช้จ่ายและค่าซื้อ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าโอน

5.มูลค่าต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่คงเหลือไว้ถึงสิ้นปี เป็นการถือโดยไม่มีการ จําหน่าย จ่าย โอน แลกเปลี่ยน จะถือว่ายังไม่มีเงินได้พึงประเมิน และให้ถือมูลค่าต้นทุนปีนี้ไปเป็นต้นทุนในปีภาษีถัดไปด้วย

.

รวมข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีคริปโต

ข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีคริปโตคือ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 19ข้อกฏหมายในฉบับได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมใสส่วนของ มาตรา 40และ 50 รายละเอียดของข้อกฏหมายมีดังนี้

มาตรา 40(4)(ซ) เงินส่วนแบ่งของกําไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล

มาตรา 40(4)(ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน

มาตรา 50(ฉ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ช) และ (ฌ) ให้คํานวนหักในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้

.

การผ่อนปรนภาษีของสรรพากร

ทางกรมสรรพากรได้ออกแนวทางในการผ่อนปรนภาษีภายใต้กฏหมายปัจจุบัน และแบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ ภาษีเงินได้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม

1.ภาษีเงินได้ ทางสรรพากรได้ออกแนวทางเพื่อให้สามารถเอาผลขาดทุนมาหักลบกับกําไรในปีภาษีเดียวกัน ซึ่งจะเข้าเงื่อนไงนี้ได้เฉพาะ ผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ในภายใต้การกํากับดูแลของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต)

2.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ธุรกรรมที่ผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) จะไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับเงิน และ ไม่ทราบจํานวนเงินที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายได้ จึงทําให้ไม่ครบองค์ประกอบการหักภาษี จึงไม่จําเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทางสรรพากรได้ยกเว้น VAT สําหรับธุรกรรมที่กระทําผ่าน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ภายใต้การดูแลของการกํากับดูแลของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (Retail CDBC)

.

สรุปการจ่ายภาษีคริปโตจากประเด็นที่หลายคนสังสัย

1.คำนวณภาษีเงินได้จากสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรได้

2.ยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และ VAT

3.เลือกคำนวณต้นทุน แบบใดแบบหนึ่ง เช่น เข้าก่อน-ออกก่อน (First in, First out), วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)

4.ตรวจสอบราคาอิงอ้างตามที่กรมสรรพากรกำหนด เช่น ศูนย์ซื้อขายในประเทศไทยราคาเฉลี่ย 24 ชม., ศูนย์ซื้อขายในต่างประเทศ 100 อันดับแรกบน CoinMarketCap, ราคาจากเว็บไซต์ coinmarket.com

5.ยื่นภาษีสามารถกรอกตัวเลขโดยไม่ต้องแนบหลักฐาน

6.กำไรที่เก็บไว้บน Exchange แต่ยังไม่ถอนออกมาเป็นเงินสด จะนับเป็นรายได้และต้องเสียภาษี

7.กรณีที่ได้กำไรจากคริปโต แต่ไม่ต้องเสีย ประกอบด้วย มีรายได้จากการเทรดคริปโตเพียงอย่างเดียว และได้กำไรไม่เกิน 60,000 บาท, มีรายได้จากการเทรดคริปโตเพียงอย่างเดียว และได้กำไรไม่เกิน 210,000 บาท แต่ต้องยื่นภาษี, อายุครบ 65 ปี หรือมีบัตรประจำตัวผู้พิการ และมีกำไรจากการขายคริปโตฯ ตลอดปีไม่เกิน 400,000 บาท

ที่มา: bitkub, finnomena, กรมสรรพากร, ประมวลรัษฎากร , isranews

 

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

ที่มา: https://medium.com/bitkub/article-crypto-tax-2025feb24-7cfc09219924

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง