รีเซต

วิธีคำนวณ BTU เครื่องปรับอากาศ กับขนาดของห้องที่เหมาะสม เย็นสบาย ไม่กินไฟ

วิธีคำนวณ BTU เครื่องปรับอากาศ กับขนาดของห้องที่เหมาะสม เย็นสบาย ไม่กินไฟ
EntertainmentReport1
2 สิงหาคม 2568 ( 23:43 )
14

การคำนวณ BTU ของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพื่อให้ห้องเย็นสบาย ไม่กินไฟ และเครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หาก BTU ไม่พอ ห้องจะไม่เย็นฉ่ำและเครื่องจะทำงานหนักตลอดเวลา แต่ถ้า BTU มากเกินไป ห้องจะเย็นเร็วเกินไปจนคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย ทำให้เปลืองไฟและเกิดความชื้นสะสมได้ และนี่คือวิธีคำนวณ BTU เบื้องต้น พร้อมปัจจัยที่ต้องพิจารณาครับ

 

 

สูตรคำนวณ BTU เบื้องต้น

BTU = พื้นที่ห้อง (ตารางเมตร) x ค่าสัมประสิทธิ์

  • พื้นที่ห้อง (ตารางเมตร): คำนวณจาก กว้าง (เมตร) x ยาว (เมตร)
  • ค่าสัมประสิทธิ์: เป็นค่าที่ใช้ประมาณการความร้อนที่เข้ามาในห้อง ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของห้อง ประมาณนี้:
    • 1. ห้องที่มีความร้อนน้อย (ห้องนอน, ห้องนั่งเล่นที่โดนแดดน้อย):
      • ค่าสัมประสิทธิ์: 700 - 800 BTU/ตร.ม.
      • ตัวอย่าง: ห้องนอนขนาด 3 x 4 เมตร = 12 ตร.ม.
        • BTU ที่ต้องการ = 12 ตร.ม. x 700 = 8,400 BTU
        • แนะนำแอร์ขนาด 9,000 BTU
    • 2. ห้องที่มีความร้อนปานกลาง (ห้องนั่งเล่น, ห้องทำงานที่โดนแดดบ้างเล็กน้อย):
      • ค่าสัมประสิทธิ์: 800 - 900 BTU/ตร.ม.
      • ตัวอย่าง: ห้องนั่งเล่นขนาด 4 x 5 เมตร = 20 ตร.ม.
        • BTU ที่ต้องการ = 20 ตร.ม. x 800 = 16,000 BTU
        • แนะนำแอร์ขนาด 18,000 BTU
    • 3. ห้องที่มีความร้อนมาก (ห้องที่โดนแดดจัดช่วงบ่าย, ห้องกระจก, ห้องครัว):
      • ค่าสัมประสิทธิ์: 900 - 1,000 BTU/ตร.ม. ขึ้นไป
      • ตัวอย่าง: ห้องกระจกขนาด 3 x 3 เมตร = 9 ตร.ม.
        • BTU ที่ต้องการ = 9 ตร.ม. x 900 = 8,100 BTU
        • แนะนำแอร์ขนาด 9,000 BTU (หรืออาจขยับเป็น 12,000 BTU หากโดนแดดจัดมาก)

 

 

ปัจจัยเพิ่มเติมที่ควรนำมาพิจารณา

นอกเหนือจากขนาดห้องแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อภาระความร้อนในห้องและควรนำมาปรับเพิ่ม BTU ที่ต้องการ ดังนี้

  1. ทิศทางของห้องที่โดนแดด:
    • ห้องที่โดนแดดบ่าย (ทิศตะวันตก): จะรับความร้อนสะสมมาก ควรเพิ่ม BTU อีก 5-10%
    • ห้องที่โดนแดดเช้า (ทิศตะวันออก): รับความร้อนน้อยกว่า แต่ก็ควรพิจารณา
  2. จำนวนและชนิดของหน้าต่าง/ช่องเปิด:
    • ห้องที่มีหน้าต่างใหญ่หรือเป็นกระจกเยอะ: กระจกเป็นตัวนำความร้อนที่ดี ทำให้ความร้อนเข้าห้องได้มาก ควรเพิ่ม BTU
    • หน้าต่างที่ไม่มีม่านหรือฟิล์มกันร้อน: จะรับความร้อนเข้ามาเต็มที่
  3. วัสดุผนังและหลังคา:
    • ผนังอิฐมอญ/คอนกรีต: เก็บความร้อนได้ดีกว่าผนังเบา
    • หลังคาที่ไม่มีฉนวนกันความร้อน: ความร้อนจากหลังคาจะส่งผ่านลงมาในห้องโดยตรง โดยเฉพาะห้องที่อยู่ชั้นบนสุด
  4. จำนวนคนในห้อง:
    • คน 1 คน = ประมาณ 600 BTU/ชั่วโมง: หากห้องมีคนอยู่เป็นประจำหลายคน ควรเพิ่ม BTU ตามจำนวนคน
  5. เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้อง:
    • เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน: เช่น คอมพิวเตอร์ ทีวี ตู้เย็น หลอดไฟ (โดยเฉพาะหลอดไส้) จะปล่อยความร้อนออกมา ควรเพิ่ม BTU
  6. ความสูงของเพดาน:
    • เพดานสูงกว่า 2.5 เมตร: อากาศร้อนจะลอยขึ้นสูง ทำให้พื้นที่ทำความเย็นเพิ่มขึ้น ควรเพิ่ม BTU
  7. ลักษณะการใช้งาน:
    • ห้องครัว: มีความร้อนจากการทำอาหารสูงมาก มักต้องใช้ BTU สูงกว่าปกติ
    • ห้องที่เปิดประตูเข้า-ออกบ่อย: ความเย็นจะรั่วไหลออกไป ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักขึ้น

 

 

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจ หรือห้องมีลักษณะพิเศษซับซ้อน ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้ได้การคำนวณที่แม่นยำที่สุด
  • เลือกแอร์ระบบ Inverter: แอร์ระบบ Inverter สามารถปรับรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ได้ ทำให้ประหยัดไฟมากกว่าแอร์ระบบ Fixed Speed และรักษาอุณหภูมิให้คงที่ได้ดีกว่า
  • ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5: เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่มีดาวเยอะๆ (ยิ่งดาวเยอะยิ่งประหยัดไฟ)

การเลือก BTU ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับความเย็นสบายสูงสุด พร้อมทั้งควบคุมค่าไฟให้ประหยัดที่สุดครับ

Photo Credit : AI Generated

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง