ดีลใหญ่ไทย-สหรัฐฯ เมื่อ 'เมดอินไทยแลนด์' ต้องข้ามกำแพงภาษี

ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วและนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ รัฐบาลไทยไม่รอช้า เตรียมเดินเกมรุกเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ผลักดันสินค้าเมดอินไทยแลนด์” ให้ข้ามผ่านอุปสรรคทางภาษี พร้อมวางรากฐานความร่วมมือเศรษฐกิจระยะยาวระหว่างสองประเทศ
บนโต๊ะเจรจา ไทยเดินเกมรุก สร้างแต้มต่อเศรษฐกิจ
วันที่ 17 เมษายน 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เตรียมนำทีม “ไทยแลนด์” เดินทางสู่สหรัฐฯ เพื่อเจรจากับภาคธุรกิจและผู้แทนรัฐบาลอเมริกัน ภายใต้เป้าหมายสำคัญคือ สร้างความสมดุลทางการค้า รักษาส่วนแบ่งตลาดเดิม และเปิดทางให้สินค้าและบริการไทยบุกตลาดใหม่อย่างมั่นใจ
รัฐบาลไม่ได้มองการลดภาษีเพียงด้านเดียว แต่ใช้เวทีนี้ต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อวางรากฐานความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองประเทศ โดยเน้นความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ
5 แกนเจรจา ยุทธศาสตร์เชิงรุกจากรัฐบาลไทย
รัฐบาลไทยได้กำหนดกรอบการเจรจาอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การจับมือกับสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพร่วมกัน เช่น อาหาร เทคโนโลยี และพลังงาน ไปจนถึงการยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เป็นไปตามหลักสากล เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบต้นทางสินค้าส่งออก เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าผลักดันการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ เพื่อขยายฐานการผลิตไปสู่ตลาดโลก ต่อยอด supply chain ให้แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งเปิดช่องนำเข้าสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ เช่น ก๊าซธรรมชาติ วัตถุดิบอุตสาหกรรม หรือผลไม้พรีเมียม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในประเทศและเติมเต็มระบบเศรษฐกิจโดยไม่กระทบผู้ผลิตไทย
จากความท้าทาย สู่โอกาสแห่งการปรับตัวทั้งระบบ
แม้การเปิดตลาดและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการค้าอาจนำมาซึ่งการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลมองว่า นี่คือช่วงเวลาสำคัญในการยกระดับศักยภาพภายในประเทศ การปรับโครงสร้าง supply chain การสนับสนุนผู้ผลิตให้เข้าถึงเทคโนโลยี และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจที่ต้องปรับตัว ล้วนเป็นแนวทางที่รัฐบาลเตรียมไว้แล้วภายใต้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระยะกลางถึงยาว
การยกระดับมาตรฐานการผลิตและส่งออก ไม่ได้เป็นแค่เงื่อนไขจากต่างประเทศ แต่คือโอกาสของสินค้าไทยที่จะก้าวสู่ระดับพรีเมียม สร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกับ SME ที่มีศักยภาพในการเติบโต
เมดอินไทยแลนด์ อยู่รอดและเติบโตบนเวทีโลก
“Made in Thailand” ไม่ได้หมายถึงแค่สัญลักษณ์ของที่มาสินค้าอีกต่อไป แต่มันคือภาพสะท้อนของคุณภาพ นวัตกรรม และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า เบื้องหลังความสำเร็จของการค้า คือแรงงาน ชาวนา ผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจในประเทศ
รัฐบาลจึงมุ่งเน้นสร้างระบบสนับสนุนที่มั่นคง ตั้งแต่การพัฒนาทักษะแรงงาน การอุดหนุนต้นทุนการปรับปรุงเครื่องจักร ไปจนถึงการผลักดันการใช้ Big Data เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างรัฐกับภาคเอกชน เพื่อให้ทุกภาคส่วน “รู้ก่อน ปรับทัน” และแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม