จับตา "น้ำมัน" อิสราเอล-อิหร่านลุ้นจบจริง

สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังต้องลุ้นว่าจะจบจริงหรือไม่ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยืนยันข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง “อิสราเอล” และ “อิหร่าน” มีผลบังคับใช้แล้ว แม้จะมีการละเมิดในช่วงเวลาสั้น ๆ เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็วดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันเผชิญกับภาวะผันผวนตามสถานการณ์ ล่าสุด ราคาเคลื่อนไหวแถวระดับเดิมก่อนหน้าการโจมตีกันอย่างกะทันหันเมื่อ 13 มิถุนายน เนื่องจากตลาดโล่งใจจากข้อตกลงหยุดยิง แต่นักลงทุนยังรอประเมินว่าข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลในระยะยาวหรือไม่
นับตั้งแต่อิสราเอลและอิหร่านโจมตีตอบโต้กันไปมา ขณะที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการโจมตีฐานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่าน ก็ผลักให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน ท่ามกลางความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการโต้กลับของอิหร่าน แต่ท่าทีของอิหร่านไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ สะท้อนจากการที่อิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศอัล-อูเดด (Al-Udeid) ในกาตาร์ ซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่สุดของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง แต่มีการแจ้งเตือนและไม่ได้ก่อให้เกิดการสูญเสียใด ๆ นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์มากกว่าจะยกระดับความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังจับตาท่าทีของอิหร่านว่าจะใช้ไพ่ตายในมือหรือไม่ นั่นคือ การปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งพลังงานที่สำคัญของโลก โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้รัฐสภาอิหร่านได้อนุมัติแผนปิดช่องแคบฮอร์มุซ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน หากอิหร่านเดินเกมนี้ก็จะทำให้การจัดหาน้ำมันหยุดชะงัก และดันให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามการประเมินของ “โกลด์แมน แซคส์”
ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือที่อ่อนไหวต่อความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยตั้งอยู่ระหว่างโอมานกับอิหร่าน เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย มีจุดแคบที่สุดเพียง 21 ไมล์ หรือราว 33.7 กิโลเมตร
ข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในปี 2567 มีปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านเส้นทางนี้ประมาณ 20.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับร้อยละ 20 ของการบริโภคน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลก และคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก
นอกจากนี้ ช่องแคบฮอร์มุซยังเป็นเส้นทางขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ราว 290 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของการค้า LNG ทั่วโลกในปี 2567 ซึ่งในแต่ละเดือนมีเรือขนส่งประมาณ 3,000 ลำใช้เส้นทางนี้เข้า-ออกจากอ่าวเปอร์เซีย เนื่องจากไม่มีเส้นทางเดินเรืออื่นในการขนส่งสินค้าออกจากอ่าวเปอร์เซียได้
แต่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจเป็นการแสดงท่าทีแข็งกร้าวทางการเมืองมากกว่าจะดำเนินการจริง เพราะจะส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งลุกลามเกินจะควบคุม ขณะที่ผ่านมาอิหร่านขู่จะปิดช่องแคบแห่งนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
น่าสังเกตว่า “อิหร่าน” เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ นอกเหนือจากความเสี่ยงที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) คูเวต และกาตาร์ รวมถึงหุ้นส่วนทางการค้าของอิหร่าน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ
ข้อมูลของ EIA ชี้ว่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 อิหร่านส่งออกน้ำมันราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ เป็นรองจากซาอุดีอาระเบียที่ส่งออก 5.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามด้วยอิรัก 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ UAE ที่ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ การปิดช่องแคบฮอร์มุซยังจะกระทบต่อตลาดส่งออกในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกน้ำมันขนาดใหญ่ของอิหร่าน ขณะเดียวกัน จีนก็พึ่งพาการขนส่งน้ำมันจากแหล่งอื่น ๆ ในอ่าวเปอร์เซียด้วย ไม่ใช่แค่จากอิหร่าน
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ทางออกของอิหร่านคือการทำให้น้ำมันที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซสั่นคลอนเพียงพอที่จะกระทบต่อสหรัฐฯ ผ่านการเคลื่อนไหวของราคา แต่ไม่ถึงขั้นกระตุ้นให้สหรัฐฯ ตอบโต้อย่างรุนแรงต่อแหล่งผลิตและการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ อาจไม่เดือดร้อนจากการปิดช่องแคบแห่งนี้มากนัก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้ส่งออกพลังงานสุทธิตั้งแต่ปี 2562 แต่สหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ประเทศในเอเชียน่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เนื่องจากบริโภคน้ำมันจากตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่ โดยจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะได้รับผลกระทบหนักสุด ข้อมูล EIA พบว่า ในปี 2567 น้ำมันดิบร้อยละ 84 และ LNG ราวร้อยละ 83 ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมุ่งหน้าสู่ภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีนที่เป็นผู้ซื้อน้ำมันจากอิหร่านรายใหญ่สุด นำเข้าน้ำมัน 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันผ่านช่องแคบฮอร์มุซในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนอินเดียนำเข้า 2.1 ล้านบาร์เรล และเกาหลีใต้ 1.7 ล้านบาร์เรล ด้านสหรัฐฯ และยุโรปนำเข้าเพียง 400,000 และ 500,000 บาร์เรลต่อวันตามลำดับ
ภาวะช็อกในตลาดน้ำมันที่เกิดจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์มักเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ เมื่อถอดบทเรียนในอดีต พบว่า การที่อิรักบุกคูเวตเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2533 ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงกลางเดือนตุลาคม แต่ราคาก็กลับมาอยู่ที่ระดับก่อนเกิดเหตุในเดือนมกราคมปีถัดมา เมื่อกองกำลังผสมที่นำโดยสหรัฐฯ เริ่มปฏิบัติการนำไปสู่การปลดปล่อยคูเวต ในทำนองเดียวกัน การเริ่มต้นของสงครามอ่าวครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปี 2546 ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นร้อยละ 46 ก่อนจะขยับลดลง ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นรวดเร็วแตะ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ราคาก็กลับมาอยู่ที่ระดับก่อนหน้า 95 ดอลลาร์ภายในกลางเดือนสิงหาคม
การพลิกกลับของราคาน้ำมันส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำลังการผลิตสำรองที่มีอยู่มากมายในขณะนั้น และการที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภค
ตลาดน้ำมันโลกในปัจจุบันมีกำลังการผลิตสำรองจากกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปก พลัส ประเมินว่า ขณะนี้มีกำลังการผลิตน้ำมันส่วนเกินประมาณ 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดีอาระเบีย และ UAE มีกำลังการผลิตส่วนเกินรวมกันราว 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่น้ำมันจากทั้ง 2 ประเทศก็ต้องส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเทศมีการสร้างท่อส่งน้ำมันเพื่อเลี่ยงการขนส่งผ่านช่องแคบ แต่ก็ขนส่งได้ในปริมาณไม่มากนัก
ในส่วนของไทย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์ โดยนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 52.6 ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ UAE ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจาก UAE ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก
หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของไทยจะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจทำให้ราคาน้ำมันและพลังงานพุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีสัดส่วนน้ำหนักถึงร้อยละ 9.57 ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปิดช่องแคบฮอร์มุซยังจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือเจเบล อาลี (Jebel Ali) ของ UAE ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่น ๆ
แต่การส่งออกของไทยบางสินค้าอาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
