รีเซต

หมอหนุ่มอนาคตไกลแชร์ “ป่วยมะเร็งปอด” ระยะสุดท้าย ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นได้

หมอหนุ่มอนาคตไกลแชร์ “ป่วยมะเร็งปอด” ระยะสุดท้าย ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นได้
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2565 ( 13:01 )
193

วันนี้ ( 11 พ.ย. 65 )เป็นเรื่องราวที่กลายเป็นไวรัลกล่าวถึงในโลกโซเชียลอยู่ในขณะนี้ เมื่อหมอหนุ่มอนาคตไกลรายหนึ่ง ได้เปิดเพจ “สู้ดิวะ” เพื่อแชร์เรื่องราวของตนเองหลังพบว่าป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งๆที่ตนเองรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ และ ไม่เคยสูบบุหรี่ เหตุการร์นี้เกิดในขณะทีชีวิตกำลังสดใส และ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี โดยเรื่องราวทั้งหมดมีดังต่อไปนี้ 

“สวัสดีครับ

ผมเป็นมะเร็งปอดครับ…

Squamous cell carcinoma of the lung with multiple brain, pleural, and lung to lung metastasis

มันจะเรียกว่า ระยะสุดท้ายก็ได้ครับ ระยะลุกลาม ระยะที่เรียกได้ว่าไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกแล้วก็หายขาดได้อย่างแน่นอนครับ

.กำลังบรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย

สงสัยใช่ไหมครับ เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน

ผมมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมากๆนะ ทั้งเข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมากๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้ามาอ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งจะอดทนเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้

แล้วผมก็เริ่มไอครับ

ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นไปรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน

ผ่านไป 2 เดือน ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริงๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักที

จึงตัดสินใจไปตรวจจริงๆจัง เอาจริงๆคือเพิ่งจะมีเวลาว่างจากงานด้วยครับ 

3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพหน่อย

Chest X-ray บอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นฟิล์มที่ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็กๆเต็มไปหมด 

จังหวะนี้ผมบอกเลยนะ

คุณจะไม่คิดถึงงานของคุณเลย ผมว่าผมเป็นคนบ้างานคนหนึ่งเลยแหละ แต่ ณ ตอนนั้นผม ไม่มีเรื่องงานเหลือในหัวเลย

คุณจะไม่มีความคิดเลยว่าอยากทำงานให้มากกว่านี้ อยากใช้เวลาในออฟฟิศให้นานกว่านี้สักนิด

..

ถึงจะคิดว่า อายุเราน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลย สุขภาพโคตรแข็งแรง แล้วเอาจริงก็คิดว่าผมไม่ใช่คนทำบาปเยอะอะไรนะ

แต่

หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเข้าไปเพื่อไปเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง ผลมันก็คือผมเป็นมะเร็งปอดจริงๆ แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 cm ที่ปอดด้านขวา นอกจากนี้ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ผม แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย 

อย่างไรก็ตามผมได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือผมมากขนาดนี้ ทั้งการผ่าตัด การได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้ผมอาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ

รวมถึงประกันด้วยครับ ผมโชคดีที่ได้ทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงไว้ ตอนทำคิดแค่ว่าจะเอาไว้ไปผ่าไส้ติ่งที่เอกชน ถึงตอนนี้ประกันจะยังไม่อนุมัติ ยังอยู่ในกระบวนการสืบค้นข้อมูล ซึ่งมันก็เข้าใจได้ครับ ผมเป็นหมอ อายุน้อย ทำไมถึงเลือกประกันนี้ แล้วเป็นเร็วขนาดนี้ แต่ผมอยากจะบอกประกันเลยว่า ผมเนี่ยวางแผนชีวิตไว้เยอะมาก และก่อนหน้านี้ผมก็แข็งแรงมากๆ อนุมัติให้ผมเถอะ ผมไม่ได้ตุกติกครับ สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ ผมแนะนำครับ ถ้าคนแบบผมเป็นมะเร็งได้ ทุกคนมีโอกาสเป็นได้จริงๆครับ โลกเราตอนนี้มันไม่ปกติครับ ทั้งมลภาวะ อากาศ น้ำ รังสีต่างๆ ยีนส์เรามันพร้อมกลายพันธ์ครับ 

..

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่เชื่อสุดหัวใจว่า ถ้าเรามีเป้าหมายและวางแผน พยายามทุ่มเท อดทน มันจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ พัฒนาตัวเอง ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ลงทุน ใช้ชีวิตให้ยอดเยี่ยมมาเสมอ

.

มันเลยทำให้ในมือผมมีการ์ดดีๆมากมายเลยครับ

.

ผมมีสุขภาพที่โคตรแข็งแรง มีการงานที่โคตรมั่นคงและมีอนาคตสดใส ผมมีสังคมและความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่สุดยอดและน่ารัก ผมกล้าพูดว่าผมมีแต่คนรักมากกว่าคนเกลียด อาจเพราะผมใช้ชีวิตด้วยคติคือว่า ทุกคนที่ได้มาเจอและรู้จักผม เขาจะต้องรู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้รู้จักกับผม ผมทำแบบนั้นมาตลอด และตอนนี้ผมมีการ์ดเหล่านั้น ผมลงทุนมาตลอดเดินไปตามแผนเกษียณได้อย่างสบายๆ ผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผมกำลังจะสร้างบ้านในฝันของเรา

.

แล้ว

.

ผมก็จั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า มะเร็งระยะสุดท้าย

การ์ดที่ถึงผมจะไม่อยากได้ แต่ผมก็มีมันอยู่ในมือ

เป็นวันที่ตระหนักว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลยครับ

.

มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลยนะครับ แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหม จะเดินได้อยู่ไหม จะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

.

ผมก็ได้กลายเป็นคนที่มีเวลาชีวิตจำกัดขึ้นมาทันที

ไม่ว่าผมจะตอบสนองกับยาดีแค่ไหน หรือผมจะแข็งแรงแค่ไหน ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ

.

เวลาจำกัดแค่ไหนเหรอครับ

.

ก็อาจจะหลักเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะห้าปี

.

ผมไม่รู้จริงๆว่าโลกจะให้เวลากับผมเท่าไร ผมไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน

.

..

แต่คุณเชื่อไหม

ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลยนะ 

.

ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำเลย แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมากๆเลยแหละ คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากไปเที่ยวรอบโลก ไม่ได้อยากขับ supercar ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริงๆ 

28 ปีที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว

.

ผมและพีมใช้เวลาหนึ่งเดือน ไปกับการรักษาทั้งสารรังสี ยาสลบ การผ่าตัด ยากระตุ้นภูมิ เคมีบำบัด รังสีรักษา รวมถึงยา molnupiravir (ใช่ครับ หลังได้คีโม ผมติดโควิด ลูกรักพระเจ้าไหมละ) และตั้งหลักชีวิตใหม่ เพื่อกลับมามองว่าผมจะเล่นการ์ดในมือนี้ต่อไปยังไง

.

การ์ดมะเร็งในมือนี้ เมื่อมันมาอยู่ในมือผม เพลย์ต่อไปที่ผมจะเล่น คือการฝากบางอย่างไว้ให้กับโลกที่อาจจะไม่ได้น่ารักกับผมเท่าไร

.

ผมได้รับโอกาสที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้ตกตะกอนมาตลอดชีวิตผม สิ่งที่ได้เรียนรู้ มุมมองการใช้ชีวิต ความเชื่อ ความฝัน ความประทับใจ

รวมถึงเรื่องราวที่ผมอยากจะฝากไว้กับโลกนี้ ทั้งช่วงอารมณ์อ่อนไหว และเข้มแข็ง เผื่อถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว ตัวตนของผม จะยังอยู่ตลอดไป

.

ผมจะยังได้เป็นอาจารย์ จะยังได้มีลูกศิษย์ ที่เติบโต ที่ได้เรียนรู้จากผมอยู่

.

มันคงจะดีมากๆถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ

ผมและเพื่อนรักของผม

จึงมีความตั้งใจที่จะสร้างเพจนี้ขึ้นมา 

เพื่อส่งต่อสิ่งเหล่านี้ครับ”


ข้อมูลจาก : เพจ “สู้ดิวะ” 

ภาพจาก  :  เพจ “สู้ดิวะ”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง