IVL ระยะสั้นโบรกฯ แนะเป็นถือ คาดกำไรน่าผิดหวังอีกครั้งใน Q1/66
บล.กสิกรไทย จำกัด ปรับลดคำแนะนำเชิงกลยุทธุ์ในระยะสั้นหุ้น IVL เป็น “ถือ” ลด TP เป็น 37.0 บาท เนื่องจากตลาดมีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรหลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/66 คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 จะอยู่ที่เพียง 100 ลบ. จากผลกระทบการลดสต๊อกในไตรมาส 1/66 โดยแนวโน้มไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวสู่ระดับปกติที่ 5.0-6.0 พันลบ. ปรับลดสมมติฐานกำไรปี 2566-67 ลง 23-37% ทำให้การคาดการณ์ของตลาดสูงกว่าประมาณการใหม่ของฝ่ายวิจัย 31-44%
ทั้งนี้ คาดกำไรไตรมาส 1/2566 จะฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยคาดจะอยู่ที่ 100 ลบ. (กำไรต่อหุ้น: 0.02 บาท) ลดลง 99% YoY แต่พลิกจากผลขาดทุนสุทธิที่ 1.15 หมื่นลบ. ในไตรมาส 4/2565 เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่า สินทรัพย์จำนวน 8.0 พันลบ. สำหรับโรงงานผลิต 3 แห่งในยุโรปและ เอเชีย ผลขาดทุนจากสต๊อกสินค้าคงคลังที่ลดลง 2.0 พันลบ. เป็น 1.5 พันลบ. และ core EBITDA/ตัน ที่ปรับดีขึ้นเป็น 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 30% QoQ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานดังกล่าวยังคงได้รับผลกระทบจากการระบายสต็อกที่ยังไม่เสร็จสิ้นตลอดเกือบทั้งไตรมาส ซึ่งสร้างแรงกดดันด้านลบต่อปริมาณการขาย และคาดว่าปริมาณการขายไตรมาส 1/2566 ของ IVL จะอยู่ที่ 3.4 ล้านตันเท่านั้น ฟื้นตัวขึ้นเพียง 4% QoQ
คาดกำไรไตรมาส 2/2566 จะกลับมาสู่ระดับปกติ หากมองไปยังไตรมาส 2/2566 คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับดีขึ้นเป็น 5.0-6.0 พันลบ. จากการกลับมาเติมสต็อกและการพลิกกลับเป็นกำไรจากสินค้าคงคลัง ฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิต (utilization rate) ของโรงงานของ IVL จะกลับสู่ระดับปกติที่ 3.7-3.8 ล้านตัน/ไตรมาส จากอุปสงค์ที่อยู่ในจุดสูงสุดตามฤดูกาลในช่วงฤดูร้อน และการกลับมาเติมสต๊อกสินค้าอีกครั้งของผู้ผลิตสินค้าปลายน้ำ ซึ่งแสดงถึงการกลับมาของการประหยัดต่อขนาดของโรงงาน ขณะเดียวกัน ในเชิง QTD ส่วนต่างราคา PET/PTA รวม ปรับดีขึ้นเช่นกันที่ 2-3% QoQ ทั้งนี้ คาดว่า IVL จะมีกำไรจากสินค้าคงคลังในไตรมาส 2/2566 จากราคา PET และ PX ที่สูงขึ้น 50-80 ดอลลาร์ฯ/ตัน QTD
ลดประมาณการกำไรลง 23-37% ปรับประมาณการกำไรปี 2566-67 ลง 37% และ 23% หรือจาก 2.40 หมื่นลบ. และ 2.66 หมื่นลบ. เป็น 1.50 หมื่นลบ. และ 2.04 หมื่นลบ. เนื่องจาก 1) ฝ่ายวิจัยลดสมมติฐานส่วนต่างราคา PET รวมในตลาดฝั่งตะวันตกของปี 2566-67 ลง 9% และ 5% เป็น 405 ดอลลาร์ฯ/ตัน และ 380 ดอลลาร์ฯ/ตัน จากปัจจัยเทียบเท่านำเข้าที่ลดลงและผลกระทบจากการลดสต๊อกสินค้าในไตรมาส 1/2566 และ 2) ฝ่ายวิจัยรวมผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าที่อาจเกิดขึ้นจำนวน 1.0 พันลบ. ในปี 2566 โดยไม่ได้เปลี่ยนสมมติฐานปริมาณการขายเชิงอนุรักษ์นิยมของฝ่ายวิจัยที่ 15.3 ล้านตัน และ 15.6 ล้านตันในปี 2566-67 นอกจากนี้ ยังเริ่มประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 2.16 หมื่นลบ. โดยพิจารณาจากส่วนต่างราคารวม PET/PTA และปริมาณการขายที่ทรงตัว YoY
ลดตัวคูณมูลค่าหุ้นจากความน่าจะเป็นที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากมีความน่าจะเป็นที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยในประเทศเศรษฐกิจหลัก จึงลดตัวคูณเป้า PBV ของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีไปที่ระดับเศรษฐกิจเกือบถดถอย (-1.75SD) จากระดับวัฏจักรอุตสาหกรรมขาลง (หรือ -1.25SD เป็น -1.5SD) ได้ปรับราคาเป้าหมายของบริษัทปิโตรเคมีรายอื่นแล้วในรายงานกลุ่มปิโตรเคมีของฝ่ายวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 เม.ย.2566 โดยฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า IVL จะอยู่ภายใต้การปรับลดตัวคูณมูลค่าหุ้นดังกล่าวเช่นกัน
ปรับลดคำแนะนําเป็น “ถือ” และราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 เป็น 37.0 บาท ปรับลดคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ในระยะสั้นจาก ซื้อ” เป็น “ถือ” IVL เนื่องจากฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเกิดกระแสการปรับลดประมาณการกำไรของตลาดในเร็วๆ นี้ (ประมาณการปี 2566-68 ของฝ่ายวิจัยต่ำกว่าของตลาด 31-44%) แม้ว่าผลตอบแทนผู้ถือหุ้นรวม (TSR) จะยังอยู่ที่ประมาณ 12% โดยความน่าผิดหวังของผลประกอบการไตรมาส 1/2566 น่าจะสร้างแรงกดดันด้านลบต่อราคาหุ้น ในระยะสั้น ด้วยเหตุนี้ จึงลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อิงตามตาม adjusted PBV ลง 14% เป็น 37.0 บาท จาก 42.90 บาท เพื่อสะท้อนการลดประมาณการกำไรดังกล่าว และการปรับลดตัวคูณเป้าหมาย PBV เป็น -1.75SD จาก -1.5SD อย่างไรก็ตาม หุ้น IVL ขณะนี้ซื้อขายที่ -1SD EV/EBITDA และ -2SD PBV