TLIเก็บเกี่ยวกำไรกว่า8.3พันล. 9เดือนงบโต-ผลงานตามคาด
#TLI #ทันหุ้น TLI เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 67 โชว์กำไรสูงถึง 8,399 ล้านบาท เติบโต 8.7% โดยเติบโตทั้งกำไรจากการรับประกันภัยและกำไรจากการลงทุน ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) แข็งแกร่งอยู่ที่ 5,178 ล้านบาท อัตรากำไรของธุรกิจใหม่อยู่ที่ 62.4% เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ว่า การดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,498 ล้านบาท หรือเติบโต 19.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 8,399 ล้านบาท หรือเติบโต 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
*กำไรจากการรับประกันโต
โดยบริษัทมีกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 5.8% ผลจากการมุ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุม รวมถึงมีกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 16.8% เนื่องจากผลตอบแทนลงทุนที่สูงขึ้นและสภาวะตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบริษัท มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น
ผลตอบแทนจากการลงทุน ในไตรมาส 3 ปี2567 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.52% และ 4.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยมีสำเหตุหลัก การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับตามการเติบโตของธุรกิจรวมถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น การลดลงของผลขาดทุนที่ยังไม่รับรู้จากสถานะสุทธิของเงินลงทุนในต่างประเทศและเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงซึ่งมีสาเหตุมาจากกาเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ
*สินทรัพย์ลงทุนเพิ่มขึ้น
สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุนณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 565,392 ล้านบาท ลงทุนในตราสารหนี้สัดส่วน 80.41% ลงทุนในตราสารทุน และหน่วยลงทุน 13.09% และอื่นๆ เช่น เงินสด เงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย 6.5% ทั้งนี้ เงินลงทุนในหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 2.20% จาก 517,259 ล้านบาทใน ธันวาคม 2566 เป็น 528,659 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2567 โดยหลักมาจากการเติบโตของเงินลงทุนในตราสารหนี้ และการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าเงินลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศที่เติบโตตามสภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ดีขึ้น
ขณะที่ 9 เดือนแรก มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 5,178 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) มีอัตราสูงถึง 62.41% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง 60,307 ล้านบาท
สำหรับช่องทางตัวแทนประกัน ยังคงเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและมีผลกำไรที่ยั่งยืน โดย VONB margin เพิ่มขึ้นเนื่องจากสัดส่วน APE ของสัญญาเพิ่มเติม (Riders) มากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 22.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อนหน้า เป็น 27.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้
ช่องทางพันธมิตร แม้ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์คุ้มครองสินเชื่อจะลดลง เนื่องจากการปรับหลักเกณฑ์การกู้ยืมจากธนาคารต่าง ๆ มีความเข้มงวดมากขึ้น APE และ VONB ในไตรมาส 3 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องมาจากความร่วมมือกับพันธมิตรหลักในการเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสามัญ และช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆ VONB เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มาจาก APE ที่เพิ่มขึ้นจากช่องทางตลาดทางตรงหรือการขายผลิตภัณฑ์ทางโทรศัพท์ และช่องทางประกันกลุ่ม
บริษัทมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 409.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% สะท้อนสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
*พร้อมใช้TFRS 17
สำหรับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 (TFRS 17) ใช้กับสัญญาประกันภัย โดยจะมีผลบังคับใช้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทฯตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568มาตรฐานใหม่นี้เปลี่ยนแปลงหลักการพื้นฐานในการบันทึกบัญชีสัญญาประกันภัยต่าง ๆ บริษัท ประสบความสำเร็จในการทดสอบและติดตั้งระบบการคำนวณ TFRS 17 ในปี 2565 ดังนั้น บริษัทจึงมีความพร้อมโดยเริ่มใช้TFRS 17 ดำเนินการคู่ขนานกับบัญชีรูปแบบเดิมตั้งแต่ปี 2566และ 2567