EPGคลายล็อกดันยอดโต ออเดอร์จ่อคิวเพิ่มพอร์ต

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ควบคู่กับเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นปัจจัยหนุนธุรกิจของบริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด (EPP) อาทิ แก้วน้ำดื่ม, บรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งมีฐานการตลาดในประเทศถึง 90%ได้อย่างมีนัยสำคัญ

“การที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมาทั้งการเปิดห้างสรรพสินค้า ตลาดชุมชน หนุนคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทแก้วพลาสติก  ขณะเดียวกันการขายอาหารผ่านระบบเดลิเวอรี ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่สามารถจำหน่ายได้นานขึ้นก็เพิ่มยอดขายได้มากขึ้นก็สั่งซื้อกล่องบรรจุอาหารเพิ่มขึ้น”

ออเดอร์จ่อคิว

ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทสามารถติดตั้งติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในโรงงาน Aeroflex ประเทศสหรัฐอเมริกาเสร็จเรียบร้อย และเริ่มทดลองเดินเครื่องได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ทั้งนี้กลุ่มบริษัทได้จัดซื้อวัตถุดิบปิโตรเคมีสำคัญบางตัวล่วงหน้าไว้ถึงประมาณเดือนมีนาคม 2565 เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประกอบกับปัจจุบัน EPP มีคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหนุนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GPM) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

พร้อมกันนี้ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกรวมถึงในประเทศที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับกลุ่มประเทศในแถบทวีปยุโรป และอเมริกาเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว เป็นปัจจัยหนุนให้กับบริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด (Aeroflex) เนื่องจากโรงแรม – อาคารพาณิชย์ โครงการมิกซ์ยูสหลายแห่งทั่วโลกเริ่มกลับมาลงทุนปรับปรุงเพื่อเปิดให้บริการอีกครั้ง รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ก็เริ่มทยอยเพิ่มปริมาณโครงการใหม่มากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา

สำหรับธุรกิจชิ้นส่วน อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์แบรนด์ “แอร์โรคลาส” (Aeroklas) ก็มีปัจจัยหนุนจากที่ออสเตรเลียจะคลายล็อกให้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศได้ในเดือนธันวาคม 2564 ประกอบกับการที่ TJM รุกขยายฐานการตลาดออนไลน์ทั่วโลก หนุนยอดขายอุปกรณ์ตกแต่งรถทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ “รถออฟโรด” (Off-Road) และรถระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหรือรถอเนกประสงส์ทั่วไป เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระจายฐานลงทุน

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทได้กระจายการลงทุนในลักษณะ “กิจการร่วมค้า” (Joint Venture)เข้าไปในหลายประเทศทั่วโลกอาทิ อินเดีย, แอฟริกาใต้, ญี่ปุ่น, จีน โดยปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 70% ของรายได้รวม และรายได้ภายในประเทศประมาณ 30%ของรายได้รวม

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดกำไรงวดไตรมาส 2/2565 (ก.ค.-ก.ย.2564) ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเพิ่มขึ้นมาก YoY แต่ลดลง QoQ จากผลกระทบ COVID-19 และประเมินกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2565 ที่ 420 ล้านบาท (+36% YoY, -6% QoQ) ส่วนกำไรงวดไตรมาส 3/2565 (ต.ค.-ธ.ค.64) จะกลับมาดีขึ้น โดยยังคงประเมินกำไรงวดปี 2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ 1.7 พันล้านบาท +46% YoY และคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 17 บาท